ตั้งคำถาม

เเฟ้มภาพไม่เกี่ยวกับข่าว

คอลัมน์ Market-Think

โดย สรกล อดุลยานนท์

ตอนหลังเวลาไปบรรยายเรื่องธุรกิจ มีเรื่องหนึ่งที่ผมจะเตือนผู้ประกอบการทุกคน

คือ เรื่องให้ระวังคู่แข่ง “ข้ามสายพันธุ์”

เพราะ “คู่แข่ง” เดิม ๆ นั้นพอรู้ทางกัน

แต่คู่แข่งที่มาจากธุรกิจอื่น เขาจะไม่คิดเหมือนเดิม

เขาจะตั้งคำถามกับรูปแบบธุรกิจที่เราคุ้นชิน

สงสัยว่าทำไมต้องเป็นแบบนั้น

ทำไมต้องทำแบบนี้

ความจริงแล้วคำถามนี้น่าจะเป็นคำถามที่เจ้าของกิจการทุกคนควรจะถาม

แต่เนื่องจากเราเคยชินมานาน

จนลืมตั้งคำถามกับ “งาน” ของตัวเอง

ธุรกิจโรงแรม ไม่เคยถามว่า

ทำไมต้องมี “ด้าย” และ “เข็ม” ในห้องพัก

มีคนใช้จริง ๆ เยอะไหม

หรือแทบไม่มีเลย

หรือ “ของ” ที่อยู่ในตู้เย็นมีไว้ทำไม

มีคนกินมากน้อยแค่ไหน

ที่ผ่านมาทุกโรงแรมชั้นนำมี ใครทำโรงแรมใหม่ก็เลยต้องทำตามไปด้วย

มีคนบอกว่าในต่างประเทศ ของในตู้เย็นอาจจำเป็นเพราะพอค่ำ ๆ ร้านค้าต่าง ๆ ก็ปิดหมด

หรือหนาวมากออกไปไหนไม่ได้

เมืองไทยก็เลยทำตาม

หรือในอดีตเมืองไทยต้องมีเครื่องดื่มไว้ในตู้เย็น เพราะออกไปซื้อของข้างนอกลำบาก

ยังไม่มีเซเว่น อีเลฟเว่นเกลื่อนเมืองเหมือนวันนี้

นอกจากนั้นยังเป็นการหา “รายได้” เพิ่มของโรงแรมอีกทางหนึ่ง

เพราะเครื่องดื่มในตู้เย็นที่ห้องพัก

จะแพงกว่าราคาเครื่องดื่มปกติเกือบเท่าตัว

แต่โลกวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว

ร้านสะดวกซื้อเกลื่อนเมือง คนที่อยากกินอะไรเขาก็ซื้อของจากข้างนอกไปแช่ไว้ในตู้เย็น

วันนี้เครื่องดื่มในตู้เย็นกลายเป็นภาระของพนักงานที่ต้องตรวจเช็กว่ามีเครื่องดื่มครบไหมก่อนลูกค้าเข้าพัก

พอลูกค้าเช็กเอ้าต์ก็ต้องมาเช็กว่าใครกินอะไรไปบ้าง

ทุกคนทำตามเคยชินนาน ๆ จนลืมตรวจสอบว่า “รายรับ” กับ “รายจ่าย” หรือภาระงานที่เพิ่มขึ้นคุ้มหรือไม่

เวลาคุยเรื่องนี้ ผมจะยกตัวอย่าง คุณอนันต์ อัศวโภคิน ที่ข้ามสายพันธุ์จากอสังหาริมทรัพย์มาทำโรงแรม

โรงแรมของเขาไม่มีของในตู้เย็นเลย ยกเว้นน้ำดื่ม

ใครอยากกินอะไรให้ซื้อเข้ามา

ในห้องพักมีตู้เย็นขนาดใหญ่ ไมโครเวฟ พร้อม

ทั้งหมดเกิดขึ้นจากคำถามง่าย ๆ แบบนี้ล่ะครับ

ของในตู้เย็นมีไว้ทำไม

คุ้มหรือไม่

ล่าสุด เขามีไอเดียใหม่ครับ

ติดตั้ง “ตู้กด” อยู่หน้าลิฟต์ทุกชั้น

เป็นตู้กดคล้าย ๆ กับที่เห็นในอาคารสำนักงาน

ในตู้กดนี้มีเครื่องดื่มทุกประเภท

มีบะหมี่สำเร็จรูป มีขนม

ลูกค้าทุกคนเห็นก็สบายใจ รู้แล้วว่าไม่ต้องซื้ออะไรขึ้นมาใส่ในตู้เย็น

เพราะมี “ตู้กด” อยู่ใกล้ห้องพัก

ใครอยากกินอะไรมากดไป

ตอนดึก ๆ หิวขึ้นมาก็เดินมาที่ลิฟต์

ปรากฏว่าได้รับความนิยมสูงมากครับ

ลูกค้าชอบ

พนักงานโรงแรมก็ไม่มีภาระในการเอาของเข้าตู้เย็น หรือเช็คของตอนลูกค้าเช็กเอ้าต์

แค่เอาของมาใส่ใน “ตู้กด” เท่านั้นก็พอ

โรงแรมก็มีรายได้จากการขายอาหารและเครื่องดื่มจาก “ตู้กด” ครับ เรื่องแบบนี้ไม่ต้องรอให้

“คู่แข่ง” ข้ามสายพันธุ์เข้ามาก็ได้

ขอเพียงกลับไปตั้งคำถามกับธุรกิจของตัวเอง

ด้วยมุมมองของ “ลูกค้า”

กล้าที่จะก้าวข้าม “ความเคยชิน” เดิม ๆ

เราก็จะได้สินค้าหรือบริการที่ดีกว่าคู่แข่ง

แค่นั้นเอง