marketthink สรกล อดุลยานนท์
ปี 2563 เป็นปีที่ผ่านไปเร็วมาก
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
เร็วระดับจาก “ชาตินี้” ไป “ชาติหน้า”
กะพริบตาแวบเดียวเกิดใหม่เลย
ผมเชื่อว่าปีที่ผ่านมาเป็นปีที่หลายคนไม่อยากจะจำ
อยากจะลืม อยากจะคิดว่าไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตมาก่อน
แต่ “ความจริง” ก็คือ “ความจริง” ครับ
เหมือน “ความจริง” ที่ “โควิด-19” จะอยู่กับเราไปถึงปี 2564
ทั้งที่มันควรจะจบไปพร้อมกับปี 2563
จำได้ใช่ไหมครับว่า เจ้าไวรัสตัวนี้เกิดที่เมืองอู่ฮั่น สาธารณรัฐประชาชนจีน
เหมือนไกลจากเมืองไทยมาก
ระบาดหนักช่วงตรุษจีนปีที่แล้ว
แป๊บเดียวเข้ามาเมืองไทยแล้ว
ครั้งนั้น เราตกใจมาก เพราะเป็นไวรัสตัวใหม่ของโลก และระบาดรวดเร็วมาก
คนรุ่นเราไม่เคยเจอกับ “โรคระบาด” ระดับโลกมาก่อน
เราไม่รู้จักมัน
มันก็ไม่รู้จักเรา
คนไทยโชคดีที่เป็นคนที่ระวังตัว
…กลัวไว้ก่อน
พอเจอมหันตภัยที่มองไม่เห็น คุณหมอบอกให้ทำอะไร เราก็ทำ
ให้ใส่หน้ากาก ก็ใส่
ให้ล้างมือบ่อย ๆ ก็ล้าง
ให้เก็บตัวอยู่ที่บ้าน อย่าออกไปไหน ก็ไม่ออก
รัฐบาลจะล็อกดาวน์ประเทศ จะปิดอะไร เราก็ไม่บ่น
ไม่เหมือนกับประเทศตะวันตก ที่ถือเรื่องสิทธิและเสรีภาพเป็นชีวิตจิตใจ
ให้หน้ากากก็ไม่ใส่
ใครใส่ก็ถูกมองว่าเป็นคนป่วย
ไม่เหมือนกับเมืองไทย
อาจด้วยนิสัยอย่างนี้เอง ทำให้เราสามารถควบคุมการแพร่เชื้อของไวรัสโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี
แม้จะต้องแลกด้วยหายนะทางเศรษฐกิจที่หนักหน่วงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย
นั่นคือ เรื่องราวในอดีต
แต่พอมาถึงวันนี้ที่เมืองไทยเกิดการระบาดครั้งที่สอง
ไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้กลายพันธุ์ครับ
เป็น “ไวรัสสีเทา”
คือ จุดเริ่มต้นมาจากธุรกิจสีเทา
ไม่ว่าจะแรงงานเถื่อน หรือบ่อนการพนัน
พอเกิดขึ้นในแหล่งหรือกระบวนการที่ผิดกฎหมาย การสืบหาไทม์ไลน์จึงยากขึ้นกว่าเดิม
เพราะทุกคนไม่ค่อยมีใครบอกรายละเอียด
ยิ่งนานวันยิ่งดูเหมือนว่าการแพร่ระบาดจะไม่หยุด ตัวเลขคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ยิ่งเห็นกราฟที่คุณหมอด้านระบาดวิทยาคาดการณ์ไว้ ยิ่งน่ากลัว
เพราะถ้าควบคุมแบบกลาง ๆ ตัวเลขอาจพุ่งไปถึงหลักพันต่อวัน
ด้านหนึ่ง อาจเป็นเพราะบทเรียนในอดีตที่รัฐบาลเล่นบทเข้มมากเกินไป
ดูแต่ตัวเลขคนติดเชื้อไวรัส คิดว่ายอดคนติดเชื้อเป็น 0 คือ ชัยชนะ
เศรษฐกิจจึงระเนระนาด
ครั้งนี้รัฐบาลจึงค่อนข้างระมัดระวังที่จะใช้มาตรการที่เข้มเกินไป
แต่พอเจอ “ไวรัสสีเทา” เข้า จำนวนคนติดเชื้อจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
อีกด้านหนึ่ง อาจเป็นเพราะคนไทยเริ่มคุ้นเคยกับเจ้าไวรัสตัวนี้แล้ว
และคุณหมอก็มีประสบการณ์มากขึ้นว่าจะรักษาโควิด-19 อย่างไร
ความตื่นตระหนกจึงน้อยลง
คนเริ่มมองโลกในแง่ดีมากขึ้น
การระมัดระวังตัวจึงลดลง
ปี 2564 น่าจะเป็นการต่อสู้กันระหว่าง 2 แนวทางนี้ชัดเจนขึ้น
ระหว่างแนวคิดด้านสาธารณสุขกับแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจ
แต่ปีนี้ยังโชคดีกว่าปีก่อน เพราะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ คือ “วัคซีน” ที่เริ่มฉีดกันในหลายประเทศ
ถ้าวัคซีนไม่มีปัญหา อย่างน้อยเราก็รู้ว่าปัญหาเรื่องโควิดจะจบอย่างแน่นอน
ช้าหรือเร็วแค่ไหนเท่านั้นเอง
ผมเข้าใจคุณหมอที่ให้ความสำคัญกับตัวเลขคนติดเชื้อ และการแพร่ระบาดที่รวดเร็ว
แต่ผมก็เห็นใจคนที่ทำมาหากิน โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี และชาวบ้านระดับรากหญ้าเหมือนกัน
ช่วงที่ผ่านมาก็มีบทเรียนให้เห็นมาแล้ว คำถามแนวทางเลือกว่า จะยอมตายด้วยโควิด หรือจะให้อดตาย จะดังขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่มีอะไรถูก อะไรผิดครับ
ทุกอย่างเมื่อมีรายรับ ก็ต้องมีรายจ่าย
เพราะ “โลกนี้ไม่ได้มีคำตอบเดียว”
แฮ่ม…ชื่อหนังสือเล่มล่าสุดของผมเองครับ