Market-think สรกล อดุลยานนท์
ตอนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีออกมาพูดเรื่องการฉีดวัคซีนของไทยว่าจะต้องทดสอบให้มั่นใจก่อนว่าวัคซีนนั้นปลอดภัย
“สำหรับคนไทย ผมตัดสินใจไม่รับความเสี่ยงแบบนั้น ผมไม่ยอมให้รีบร้อนฉีดวัคซีนที่ยังทดสอบไม่ครบถ้วน และไม่ยอมเป็นประเทศทดลอง”
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- เงื่อนไขปุ๋ยลดราคาเฟส 2 สูตรไหน-พืชชนิดใดบ้าง
ฟังเหมือนกับว่ารัฐบาลมีความระมัดระวัง รอบคอบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
แต่อีกมุมหนึ่ง ถ้าใครติดตามวิธีการแก้ปัญหาของรัฐบาลด้วยการใช้ภาษา
เปลี่ยนจากการระบาด “รอบสอง” เป็นการระบาด “รอบใหม่”
เปลี่ยนจากการแบ่งโซนสีตามความรุนแรงของการระบาด
แดง-ส้ม-เหลือง-เขียว
เปลี่ยนเป็น “พื้นที่มีการควบคุมสูงสุด-ควบคุม-เฝ้าระวังสูง-เฝ้าระวัง”
ครั้งนี้ก็เหมือนกัน
ในขณะที่มีคนเริ่มบ่นว่าระบบการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาลไทยช้ามากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
ซึ่งถ้าดูจากข้อมูลของประเทศต่าง ๆแล้วจะเห็นได้ชัดเจนว่า “ช้าจริง”
ทั้งการสั่งวัคซีนให้พอเพียงกับประชากรก็น้อยกว่าหลายประเทศ
เริ่มต้นฉีดก็ช้ากว่า
แต่ พล.อ.ประยุทธ์เปลี่ยนคำจาก “ลบ” มาเป็น “บวก”
เปลี่ยนคำว่า “ช้า” เป็นคำว่า “รอบคอบ”
นักบริหารทุกคนจะเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี
“ช้า” ย่อมมีเวลาตรวจสอบมากกว่า “เร็ว” แต่บางเรื่อง “ช้า” ก็เจ๊งเลย
“เทียม โชควัฒนา” จึงมีหลักการบริหารสั้น ๆ ง่าย ๆ ที่ยังคลาสสิคถึงวันนี้
“เร็ว-ช้า-หนัก-เบา”
อะไรควรเร็ว เร็ว
อะไรควรช้า ช้า
อะไรควรหนัก หนัก
อะไรควรเบา เบา
“ผู้นำ” ที่ดีต้องประเมินภารกิจและเลือกจังหวะให้ถูกต้อง
ดังนั้น คำถามที่สำคัญมากในเรื่องนี้ก็คือเรื่อง “วัคซีน” เราต้องเร็วหรือช้า
อย่าลืมนะครับสถานการณ์โควิดในวันนี้ต่างจากเมื่อปีที่แล้ว
ปีที่แล้ว เรายังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
แต่วันนี้เรามี “วัคซีน” ที่เป็น “คำตอบ” ว่าสถานการณ์โรคระบาดครั้งนี้จะจบลงอย่างไร
ถ้าคนทั้งโลกฉีดวัคซีน เราจะปลอดภัย
แต่วัคซีนโควิดนั้นแตกต่างจากวัคซีนอื่น เพราะเร่งรีบกว่าปกติ
วัคซีนของไฟเซอร์ก็ใช้วิธีการผลิตแตกต่างจากที่เคยทำมา
มีการทดลองในคนมาแล้ว พอเชื่อถือได้ว่าปลอดภัย
แต่ไม่มีใครรู้ว่าภูมิคุ้มกันของวัคซีนแต่ละตัวยาวนานเท่าไร
ตามปกติจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปีเพื่อดูภูมิคุ้มกันของคนที่ฉีดมาแล้วว่ายาวนานแค่ไหน
แต่ในสถานการณ์สู้รบแบบติดดาบปลายปืนในสงครามโควิด
เรื่องนี้ไม่สำคัญเท่าไร
เราต้องคิดว่าเราไม่ได้อยู่แบบโดดเดี่ยวคนเดียวในโลก
ถ้าเรายอมรับว่าประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไต้หวัน อิสราเอล ฯลฯ
หมอเขาเก่งไม่แพ้หมอไทย
กว่าจะเลือกวัคซีนแต่ละตัว คงต้องมีกระบวนการตรวจสอบอย่างละเอียด
ผู้นำของแต่ละประเทศก็คงรักประชาชนของเขาไม่น้อยกว่าเรา
เผลอ ๆ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
แค่เราดูว่าประเทศเหล่านั้นเลือกวัคซีนอะไร เราก็พอตัดสินใจได้
ต้องยอมรับว่ารัฐบาลไทยตัดสินใจซื้อวัคซีนช้ากว่าประเทศอื่นจริง ๆ
เหมือนกับไม่กล้าใช้เงิน
การซื้อวัคซีน Astra Zenneca 26 ล้านโดส ใช้กับคนได้ 13 ล้านคน
ใช้เงิน 6,216 ล้านบาท
ถ้าต้องการมีวัคซีนสำหรับคนไทย 52 ล้านคนก็ใช้เงิน 24,800 ล้านบาท
น้อยกว่าโครงการคนละครึ่งเสียอีก
“คนละครึ่ง” แจกเงิน 3,000 บาทกับคนไทย 10 ล้านคน
ใช้เงินตั้ง 30,000 ล้านบาท
การฉีดวัคซีนให้คนไทยจนประเทศปลอดภัย คนในประเทศสามารถออกมาจับจ่ายใช้สอยได้
และเป็นประเทศที่ปลอดภัยให้คนต่างชาติมาท่องเที่ยวได้
ดีกว่าแจกเงินโครงการคนละครึ่งมากมายหลายเท่า
ถ้าตัดสินใจแบบนักบริหาร
ยอมเสียเงินสัก 60,000 ล้าน ซื้อหลาย ๆ เจ้า
ถ้าเจ้าไหนมีปัญหา เราก็ยังมีวัคซีนเจ้าอื่นสำรอง
เสียหายไปบ้างก็ยังคุ้ม
เพราะสงครามโควิดจบทันที
เรื่องความปลอดภัย ตอนนี้มีหลายประเทศฉีดไปแล้ว
เท่ากับมีคนทดลองแทนเราไปแล้ว หาข้อมูลดี ๆ ก็ตัดสินใจได้
อย่าอ้างเหตุผลเรื่อง “ความรอบคอบ” เลยครับ “ช้า” ก็คือ “ช้า”
“ไม่กล้าตัดสินใจ” ก็คือ “ไม่กล้าตัดสินใจ”
แม้วันนี้สถานการณ์โควิดทั้งโลกยังรุนแรงอยู่ แต่ทุกประเทศเขามองหา “โอกาส” กันแล้ว
เพราะรู้ว่ามีวัคซีน ปัญหาจบแน่นอน
ประเทศไหนพร้อมก่อน จะได้เปรียบทันที
โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวแบบไทย
ต้องกล้าตัดสินใจ