คอลัมน์ : Market-think ผู้เขียน : สรกล อดุลยานนท์
เคยคุยกับนักธุรกิจโรงแรมคนหนึ่งเมื่อประมาณปลายปีที่แล้ว
เขาบอกว่าเจ้าของโรงแรมที่ “รอด” จากสถานการณ์โควิดมีอยู่ 2 กลุ่ม
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- หุ้นไทยดิ่งหนัก ตลาดหลักทรัพย์ออก Statement ชี้แจง
- เปิดไทม์ไลน์ลูกค้าซิตี้แบงก์ต้องรู้! ก่อนโอนย้ายบัญชีมาเป็น “ยูโอบี” 21 เม.ย.นี้
กลุ่มหนึ่ง คือ อึดไปจนฟ้าเปิด
จะลดค่าใช้จ่าย ควักทุนเก่าเพิ่ม หรือเอากำไรจากธุรกิจอื่นของตัวเองมาโปะ
เลี้ยงตัวไปเรื่อย ๆ จนโควิดจาง
เพราะวันหนึ่ง “โควิด” จะต้องหายหรือกลายเป็นโรคประจำถิ่น
วันนั้นนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้ามาเหมือนเดิม
อาจไม่เยอะเหมือนในอดีต
แต่ก็มากพอที่จะขับเคลื่อนธุรกิจโรงแรมได้
โรงแรมเหล่านี้จะฟันกำไรมโหฬารเมื่อฟ้าเปิด
ถ้าถึงวันนั้น โรงแรมจะเหลือน้อยลง
เพราะล้มหายตายจากไปเยอะมาก
“ดีมานด์” กลับมา แต่ “ซัพพลาย” น้อยลง
กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มที่ตัดสินใจปิดตัวเองไปตั้งแต่โควิดระบาดใหม่ ๆ โควิดเริ่มมีผลต่อการท่องเที่ยวไทยประมาณต้นปี 2563
แต่ตอนระบาดระลอกแรก เมืองไทยผ่านไปได้อย่างสวยงามนักธุรกิจส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าอีกไม่นานฟ้าจะเปิด
ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดระลอก 2-3-4 ตามมา และรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
นอกจากฟ้าจะไม่เปิดแล้ว
ฟ้ายังปิดแน่นกว่าเดิมอีก
ช่วงปี 2563 ถ้าโรงแรมไหนตัดสินใจปิดกิจการชั่วคราว
หากมองย้อนกลับไปจากวันนี้
นักธุรกิจกลุ่มนี้คงชมตัวเองว่าตัดสินใจถูกต้อง
ปิดก่อน เจ็บก่อน
แต่เจ็บไม่มาก
ถ้าขายกิจการได้ก็ดี แต่ถ้าขายไม่ได้ก็ยังดีกว่ายื้อต่อ
โดยเฉพาะโรงแรมขนาดเล็ก
หากใครยังเปิดกิจการอยู่ เขาจะขาดทุนต่อเนื่องมาเป็นเวลาปีกว่า
เพราะอัตราการเข้าพักก็ต่ำ
ค่าห้องก็ต่ำ
รายได้ไม่คุ้มกับรายจ่าย
พอวันนี้เจอระลอกที่ 5 “โอมิครอน” ซ้ำอีก บางคนก็ไปไม่ไหวแล้ว
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ “รังสรรค์ ต่อสุวรรณ” นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ในอดีต
เขาเคยบอกว่า จุดที่แย่ที่สุดของธุรกิจ คือ ตอนที่อุ้มปลา “ไม่รู้เป็น-ไม่รู้ตาย”
เพราะถ้าตาย เราจะโยนทิ้งไป
แต่ถ้ารู้ว่าไม่ตายแน่ ๆ หรือ “ปลาเป็น”
เราจะได้ปล่อยให้ว่ายน้ำต่อ
แต่เมื่อไม่รู้ว่าปลาตัวนี้จะรอดหรือไม่รอด
ช่วงนี้จะเจ็บหนัก
เพราะเราต้องแบกปลาต่อไปเรื่อย ๆ
ใส่เงินเข้าไป เพราะคิดว่ามีโอกาสรอด
จะขาดทุนต่อเนื่องจนอาจทำให้ล้มละลายได้
ถามว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ปลาตัวนี้จะรอดหรือไม่รอด
ผมเคยถามคำถามนี้กับนักธุรกิจใหญ่หลายคน
อยากรู้หลักการตัดสินใจว่า อะไรควรเลิก อะไรควรทำต่อ
ไม่มีใครตอบได้
ผมเชื่อว่ามันเป็นสัญชาตญาณที่มาจากประสบการณ์ของแต่ละคน
รวมทั้ง “ความลึก” ของกระเป๋าด้วย
ใครที่สายป่านยาว หรือมีกำไรจากธุรกิจอื่น
เขาก็พร้อมจะทนอุ้มปลาตัวนี้ได้นาน
แต่ถ้าเป็นคน “กระเป๋าตื้น”
แบบนี้อาจต้องตัดสินใจเร็วหน่อย
ไม่เช่นนั้น “กระเป๋า” อาจทะลุ