คอลัมน์ : Pawoot.com ผู้เขียน : ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ
เมื่อโลกของการค้าออนไลน์เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญ การปรับตัวและมองไปข้างหน้ากลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ประกอบการและนักการตลาดทุกคน ปี พ.ศ. 2568 (2025) จะเต็มไปด้วยกระแสการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ ตั้งแต่การผูกขาดของแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ ไปจนถึงการผนวกรวมเทคโนโลยี AI และเครื่องมือ Automation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขาย บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 12 เทรนด์ e-Commerce ที่จะเกิดขึ้นและส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์ในอนาคตอันใกล้
1.การผูกขาดของ e-Marketplace ขนาดใหญ่เข้มข้นขึ้น
ในอนาคตอันใกล้ ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในวงการ e-Marketplace เช่น Lazada, Shopee, หรือ TikTok Shop จะมีอำนาจเหนือตลาดมากขึ้นเนื่องจากจำนวนผู้แข่งขันจะลดลง ความผูกขาดนี้จะส่งผลให้ค่าธรรมเนียมขายสินค้าเพิ่มขึ้น ผู้ขายจะเผชิญกับการเก็บค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียมการลงสินค้า ค่าส่วนแบ่งการขาย หรือค่าโฆษณาในแพลตฟอร์ม ข้อมูลลูกค้าจะถูกปิดกั้น Marketplace รายใหญ่จะควบคุมข้อมูล ทำให้ผู้ขายไม่สามารถเข้าถึงฐานลูกค้าหรือข้อมูลเชิงลึกได้ง่ายดาย แบรนด์เล็กต้องปรับตัวผู้ค้ารายย่อยจึงควรพิจารณาหลีกเลี่ยงการพึ่งพา Marketplace เพียงด้านเดียว และมองหาช่องทาง Owned Channel ของตนเอง
2.Owned Channel จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น
เพื่อลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มที่มีค่าธรรมเนียมสูง ผู้ขายเริ่มหันมาสร้างช่องทางขายสินค้าของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ส่วนตัว เพจเฟซบุ๊ก ร้านค้าใน LINE Official หรือช่องทางโซเชียลมีเดียอื่น ๆ เหตุผลสำคัญคือ ลดต้นทุนค่าธรรมเนียม ไม่ต้องเสียค่าคอมมิชชั่น 20% ให้ Marketplace เข้าถึงลูกค้าโดยตรงเก็บข้อมูลลูกค้า เช่น เบอร์โทรศัพท์ Facebook หรือ LINE ID ทำให้สามารถติดต่อสื่อสาร สร้างความสัมพันธ์ระยะยาว และทำ CRM ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างประสบการณ์แบรนด์ที่เป็นเอกลักษณ์ Owned Channel จะช่วยให้แบรนด์ควบคุมภาพลักษณ์และเนื้อหาได้เต็มที่
3.สินค้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะจีนจะหลั่งไหลเข้ามาถูกกฎหมายมากขึ้น
แม้ว่ากระบวนการนำเข้าสินค้าจะมีข้อกฎหมายและระเบียบมากมาย แต่ในปี 2568 คาดว่าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน จะทะลักเข้ามาไทยอย่างถูกกฎหมายมากกว่าเดิม ผู้ประกอบการนำเข้าเจ้าใหญ่มีความเชี่ยวชาญ สามารถหาช่องทางปฏิบัติตามกฎระเบียบ และทำให้นำเข้าสินค้าอย่างถูกต้องได้ง่ายขึ้น ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น สินค้าต่างชาติหลากหลายประเภทจะเพิ่มทางเลือกและเสริมการแข่งขันในตลาด
4.ยุคแห่ง 3C : Content, Community และ Commerce
การขายออนไลน์จะไม่ใช่แค่ “ขายสินค้า” อีกต่อไป แต่จะเต็มไปด้วยการสร้างเนื้อหาและเรื่องราว (Storytelling) เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าการซื้อขายแบบเดิม ๆ เกิดเป็นยุคของ “3C” คือ
Content การเล่าเรื่อง เนื้อหาที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้สินค้ามีความหมายและน่าจดจำ
Community การสร้างกลุ่มคนสนใจสินค้าร่วมกัน กลุ่มแฟนคลับหรือผู้ติดตามจะเกิดขึ้น และมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนกระแส
Commerce เมื่อมีทั้ง 2C Content และ Community การค้าขายหรือ Commerce ก็จะง่ายมากขึ้น กับการค้า ในกลุ่มลูกค้าของเรา
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ “น้องหมีเนย (Butter Bear)” ซึ่งไม่เคยมีใครรู้จัก แต่หลังจากมีการเล่าเรื่อง (Content) และเกิดกลุ่มแฟนคลับ (Community) “มัมหมี” ก็ทำให้แบรนด์ดังเป็นพลุแตก มียอดขายสินค้า (Commerce) เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
5.TikTok Commerce จะขยายธุรกิจนอกกรอบการขายสินค้าทั่วไป
ในปี 2568 TikTok จะไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มขายสินค้าแฟชั่นหรือของใช้เท่านั้น แต่จะขยายไปสู่การขายบริการและประสบการณ์ต่าง ๆ เช่น ขายทัวร์ท่องเที่ยว ซื้อแพ็กเกจทัวร์ผ่าน TikTok หรือจะเป็นคูปองร้านอาหาร โดยซื้อคูปองออนไลน์และนำไปใช้บริการหน้าร้าน ทำให้โลกออนไลน์เชื่อมโยงกับออฟไลน์ได้อย่างไร้รอยต่อ
6.Video Commerce บูมกับการจับมือระหว่างแพลตฟอร์ม
Video Commerce จะเติบโตมากขึ้นอันเกิดจากความร่วมมือระหว่างแพลตฟอร์ม เช่น Shopee กับ YouTube ครีเอเตอร์บน YouTube จะสามารถเชื่อมโยงสินค้ากับ Shopee ได้โดยตรง วิดีโอจะช่วยโน้มน้าวลูกค้าได้มากขึ้น แพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น Lazada ก็จะไม่อยู่นิ่งเฉย คาดว่าจะเห็นการขยายตัวของ Video Commerce อีกมากมาย
7.Vertical Commerce : ตลาดเฉพาะทางเติบโต
การแข่งขันดุเดือดใน Marketplace ทำให้ผู้ขายบางกลุ่มหันไปหา “Vertical Commerce” หรือช่องทางเฉพาะทาง เช่น Facebook Page, LINE Group หรือแพลตฟอร์มเฉพาะกลุ่มสินค้าบางประเภท เช่น สินค้าเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ใหญ่, สินค้าแม่และเด็ก และสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เป็นต้น
8.AI Commerce ปัญญาประดิษฐ์เข้ามาขับเคลื่อนธุรกิจ
AI จะเข้ามามีบทบาทในการทำการค้าออนไลน์ในหลากหลายรูปแบบ เช่น สร้างเนื้อหาและรูปภาพอัตโนมัติ การทำคอนเทนต์ โฆษณา หรือภาพสินค้าให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย วางแผนการตลาดอัจฉริยะ ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า การแข่งขัน และแนวโน้มการตลาดเพื่อพัฒนากลยุทธ์การขาย
9.ยุค e-Commerce Automation : การเชื่อมต่อเครื่องมือทั้งหมด
จากเดิมที่ธุรกิจต้องใช้เครื่องมือหลากหลายในการจัดการคำสั่งซื้อ จัดสต๊อก ยิงโฆษณา หรือออกเอกสาร ปี 2568 จะเป็นยุคที่เครื่องมือ e-Commerce Automation เชื่อมต่อเข้าด้วยกันอย่างลงตัว จากโฆษณาถึงการจัดส่งในระบบเดียว ตั้งแต่ยิงโฆษณา, ลูกค้าสั่งซื้อ, ระบบ Fulfillment รับคำสั่ง, จัดเก็บแพ็กส่งสินค้า, ออกใบเสร็จบันทึกบัญชีอัตโนมัติ ทุกขั้นตอนจะไหลลื่นเป็นระบบเดียว ช่วยลดต้นทุนเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพ
10.ภาครัฐเข้มงวดเรื่องภาษี สรรพากรลงสนาม
ในปี 2568 สรรพากรจะเริ่มเก็บข้อมูลยอดขายจากร้านค้าที่ขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์โดยอัตโนมัติ เช่น Lazada, Shopee, TikTok, Grab, LINE Man และอื่น ๆ ยอดขายทั้งปีจะถูกส่งตรงไปยังสรรพากร ราคาอาจขยับขึ้นเนื่องจากผู้ค้าอาจต้องปรับราคาเพื่อรองรับภาษีที่ถูกจัดเก็บอย่างเข้มงวด
11.Affiliate Commerce + KOL + Influencer มาแรง
การตลาดแบบ “จ่ายเมื่อขายได้” ผ่าน Affiliate Commerce รวมถึงการใช้ KOL (Key Opinion Leader) และ Influencer จะได้รับความนิยมมากขึ้น ลดต้นทุนโฆษณา ผู้ขายจ่ายค่าคอมมิชชั่นเฉพาะเมื่อขายสินค้าสำเร็จ สร้างเครือข่ายโปรโมตสินค้า ผู้ที่มีอิทธิพลในสื่อออนไลน์จะกลายเป็นผู้กระจายข่าวที่ทำให้สินค้ารู้จักอย่างรวดเร็ว และผู้สนับสนุน (Affiliates) จะสร้างรายได้โดยไม่ต้องสต๊อกสินค้าเอง
12.e-Commerce Listening : เจาะลึกข้อมูลการค้าออนไลน์
เครื่องมือ e-Commerce Listening จะเข้ามามีบทบาทในการวิเคราะห์สภาพตลาด ช่วยผู้ขายมองเห็นภาพรวมของการแข่งขัน ดูยอดขายคู่แข่ง เข้าใจได้ว่าสินค้าชนิดเดียวกันขายได้เท่าไรใครคือผู้นำตลาด วิเคราะห์ Big Data ใช้ข้อมูลเพื่อปรับกลยุทธ์ เพิ่มโอกาสทำกำไร และตั้งราคาที่เหมาะสม
ปี 2568 จะเป็นช่วงเวลาที่การค้าออนไลน์ไม่ใช่แค่ “ขายของผ่านอินเทอร์เน็ต” อีกต่อไป แต่จะเป็นการผสมผสานระหว่าง Content, Community, Commerce และนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี ตั้งแต่การใช้ AI ไปจนถึง Automation และการตลาดแบบ Affiliate
ทั้งหมดนี้จะทำให้ธุรกิจ e-Commerce มีความซับซ้อนและท้าทายขึ้น ผู้ประกอบการที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์เหล่านี้ได้จะมีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืนในโลกดิจิทัลที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง