การกลับมาของ “ทรัมป์” ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีน

trump
คอลัมน์​ : Pawoot.com
ผู้เขียน : ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ

การกลับมารับตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐ กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในเวทีโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่จีนเคยเป็นคู่แข่งสำคัญ นโยบายที่เคยใช้ในสมัยแรกของทรัมป์ได้สร้างแรงกดดันต่อจีนอย่างหนัก และครั้งนี้อาจมีมาตรการที่เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อจำกัดการเติบโตทางเทคโนโลยีของจีน ทรัมป์ได้ประกาศว่า “ยุคทองของอเมริกาจะกลับมาอีกครั้ง” โดยเน้นให้ความสำคัญกับการครองความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก

สงครามเซมิคอนดักเตอร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากเซมิคอนดักเตอร์เป็นเส้นเลือดสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ และสหรัฐยังคงครองอำนาจเหนือกว่าในด้านการออกแบบและผลิตชิปขั้นสูง ด้วยการกลับมาของทรัมป์ มีแนวโน้มว่าสหรัฐจะเพิ่มการควบคุมการส่งออกชิปประสิทธิภาพสูง เช่น ชิป AI และชิปประมวลผลประสิทธิภาพสูง เพื่อลดความสามารถของจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ แม้ว่าจีนจะพยายามพัฒนาผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของตนเอง เช่น SMIC แต่ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีขั้นสูงยังเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องเผชิญ

จีนมีความก้าวหน้าอย่างมากในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยมีบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Baidu, Alibaba และ Tencent เป็นผู้ขับเคลื่อนสำคัญ อย่างไรก็ตาม การกีดกันการเข้าถึงฮาร์ดแวร์ที่จำเป็น เช่น GPU จากบริษัทอเมริกัน อาจส่งผลให้จีนต้องพึ่งพานวัตกรรมภายในประเทศมากขึ้น แม้ว่าจะมีโครงการพัฒนา AI ของตัวเอง เช่น DeepSeek แต่ข้อจำกัดในด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการขาดเทคโนโลยีหลักอาจทำให้จีนต้องใช้เวลานานกว่าที่จะเทียบเท่ากับสหรัฐ

เทคโนโลยีควอนตัมถือเป็นอีกหนึ่งด้านที่สหรัฐให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงระบบความมั่นคงทางไซเบอร์และการประมวลผลข้อมูลขั้นสูง การที่ทรัมป์กลับมาบริหารประเทศอาจหมายถึงการออกมาตรการใหม่ในการจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีควอนตัมให้กับจีน โดยเฉพาะอุปกรณ์สำคัญและนักลงทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจควอนตัมในจีนอาจถูกกีดกันไม่ให้เข้าถึงเทคโนโลยีที่พัฒนาในสหรัฐ ส่งผลให้จีนต้องเร่งพัฒนาโครงการวิจัยของตัวเองเพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตก

การที่สหรัฐเพิ่มมาตรการกีดกันจีนในด้านเทคโนโลยี ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อจีนเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อประเทศอื่น ๆ ที่พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานของจีน เช่น ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย การที่จีนไม่สามารถเข้าถึงตลาดสหรัฐได้อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงซัพพลายเชนครั้งใหญ่ โดยบริษัทต่าง ๆ อาจต้องปรับตัวและกระจายความเสี่ยงด้วยการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น เช่น เวียดนาม หรืออินเดีย

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายของสหรัฐอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของจีน เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และการผลิตชิ้นส่วนเทคโนโลยีขั้นสูง หากจีนเผชิญกับข้อจำกัดทางการค้าและเทคโนโลยีมากขึ้น อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงแนวทางการลงทุน โดยบริษัทจีนอาจหันมาลงทุนในไทยมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการกีดกันจากสหรัฐ

ADVERTISMENT

ในขณะเดียวกัน ไทยอาจได้รับโอกาสจากการที่บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งอาจทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตแห่งใหม่ในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ไทยต้องเตรียมความพร้อมในด้านแรงงานที่มีทักษะ โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และมาตรฐานการป้องกันข้อมูล เพื่อให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ และใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างเต็มที่

แม้การกลับมาของทรัมป์อาจสร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อจีน แต่จีนเองก็มีความสามารถในการพึ่งพาตนเองผ่านโครงการ “Made in China 2025” ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศในระยะยาว จีนยังมีความล้ำหน้าด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น พลังงานหมุนเวียน โดรน และการสื่อสารความเร็วสูง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้จีนสามารถรักษาความได้เปรียบในบางภาคส่วนได้

ADVERTISMENT

การกลับมาของทรัมป์อาจเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับจีนในแง่ของเทคโนโลยีขั้นสูง

อย่างไรก็ตาม จีนยังคงมีศักยภาพและความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมของตัวเอง เพื่อปรับตัวต่อความท้าทายที่เกิดขึ้น การแข่งขันระหว่างสองมหาอำนาจนี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลกในอนาคตและอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในระบบเศรษฐกิจโลก