
คอลัมน์ : Pawoot.com ผู้เขียน : ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ
ยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามามีบทบาทในทุกมิติของชีวิต Deepfake กลายเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ทั้งน่าทึ่งและน่าหวาดหวั่นที่สุด ปัจจุบันเพียงแค่มีภาพถ่ายหรือวิดีโอไม่กี่วินาที AI ก็สามารถสร้างภาพเคลื่อนไหว เสียงพูด หรือแม้แต่วิดีโอคอลที่ดูเหมือนจริงได้อย่างไม่น่าเชื่อ และสิ่งที่เคยเป็นเพียงแนวคิดในหนังไซไฟ กำลังกลายเป็นภัยจริงในชีวิตประจำวันของคนไทย
ผมเองเพิ่งเผชิญเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องตระหนักถึงอันตรายนี้อย่างใกล้ชิด เมื่อมีผู้ไม่หวังดีสร้างโปรไฟล์ปลอมเป็นผมบน Facebook และที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ มีการนำใบหน้าของผมไปใช้กับเทคโนโลยี AI Deepfake เพื่อหลอกลวงผู้อื่น โดยมีการใช้วิดีโอปลอมที่ดูเหมือนผมในการวิดีโอคอลกับคนอื่น พร้อมกับกล่าวอ้างว่ารู้จักบุคคลสำคัญหลายคน แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะเหมือนผมทุกอย่าง แต่กลับถูกจับพิรุธได้เมื่อ “ปากไม่ตรงกับเสียงที่พูด” เพราะเป็นผลจากการประมวลผลของ AI ซึ่งไม่ใช่ตัวจริงเสียงจริงของผมเลย
ถ้าหากไม่มีใครมาบอกผม ว่าผมกำลังถูกแอบอ้าง หรือหากมีคนหลงเชื่อไปจริง ๆ จนมีการพูดถึงหรือแชร์ข้อมูลต่อโดยไม่ตรวจสอบ ลองนึกถึงผลกระทบที่อาจตามมาดูครับ-ชื่อเสียงของผมอาจเสียหายโดยที่ผมไม่รู้ตัว ความสัมพันธ์ในแวดวงธุรกิจ หรือสังคมอาจเกิดความเข้าใจผิด และถ้ามีการใช้ภาพผมไปหลอกให้ผู้อื่นโอนเงินหรือให้ข้อมูลสำคัญ ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็จะไม่ใช่แค่ชื่อเสียงผมเพียงคนเดียว แต่อาจหมายถึงความเสียหายต่อคนอื่นด้วย ที่สำคัญคือผมไม่มีทางรู้เลยว่า Deepfake เวอร์ชั่นปลอมนั้นถูกนำไปใช้ที่ไหนบ้าง หรือพูดอะไรออกไปบ้าง ซึ่งทำให้ “ตัวตนดิจิทัล” ของผมหลุดจากการควบคุมอย่างสิ้นเชิง
ในสังคมไทยที่ยังขาดการรู้เท่าทันเทคโนโลยีในระดับกว้าง Deepfake คือระเบิดเวลา ทั้งในแง่สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง การเมืองไทยในยุคที่ประชาชนรับข้อมูลข่าวสารจากโซเชียลมีเดียเป็นหลัก หากมีการใช้วิดีโอปลอมของนักการเมืองหรือผู้นำ เพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงในช่วงเลือกตั้ง อาจส่งผลกระทบมหาศาลต่อทิศทางประเทศ หรือในมุมธุรกิจ การสร้างวิดีโอปลอมของผู้บริหารหรือพนักงาน เพื่อหลอกลวงให้โอนเงินหรือให้ข้อมูลสำคัญก็อาจสร้างความเสียหายเป็นล้านบาทได้ภายในไม่กี่นาที
นอกจากความเสียหายเฉพาะบุคคล Deepfake ยังคุกคาม ความไว้วางใจของสังคม เมื่อใดที่ประชาชนเริ่มสงสัยว่าทุกสิ่งที่เห็นอาจเป็นของปลอม ความเชื่อมั่นต่อสื่อ ความยุติธรรม หรือกระทั่งสถาบันต่าง ๆ ก็จะถูกสั่นคลอนอย่างไม่อาจประเมินผลได้
การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือหลายภาคส่วน ภาครัฐจำเป็นต้องเร่งออกกฎหมายเฉพาะทางเกี่ยวกับการใช้ Deepfake โดยกำหนดโทษสำหรับการแอบอ้าง หรือสร้างความเสียหายต่อบุคคลหรือสังคม ส่วนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต้องพัฒนาเครื่องมือตรวจจับวิดีโอปลอมอย่างแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น และต้องมีช่องทางให้ผู้เสียหายรายงานได้ง่าย ไม่ใช่ปล่อยให้เรื่องจบด้วยคำว่า Report แล้ว แต่บัญชีเหล่านั้นยังคงอยู่
ที่สำคัญที่สุดคือประชาชนต้องพัฒนาทักษะด้าน “การรู้เท่าทันสื่อและเทคโนโลยี”ซึ่งหมายถึงการไม่หลงเชื่อสิ่งที่เห็นทันที แต่ตั้งคำถาม วิเคราะห์ ตรวจสอบ ก่อนจะแชร์หรือเชื่อข้อมูลใด ๆ โดยเฉพาะในรูปแบบวิดีโอหรือเสียงที่ฟังดูดีเกินจริง หรือมีเนื้อหาสร้างความตื่นตระหนก
วิธีตรวจสอบ Deepfake เบื้องต้นด้วยตัวเอง
1.สังเกตการเคลื่อนไหวของปาก หากพูดไม่ตรงจังหวะกับเสียง หรือมีการขยับปากแปลก ๆ มักเป็นสัญญาณของวิดีโอปลอม 2.ดูดวงตาและการกะพริบตา Deepfake บางประเภททำให้การกะพริบตาไม่เป็นธรรมชาติ หรือไม่มีการกะพริบเลย
3.ตรวจความสมจริงของแสงเงา วิดีโอปลอมมักมีแสงเงาผิดปกติ ไม่สมดุลกับท่าทางจริง 4.ฟังโทนเสียงและจังหวะพูด เสียงอาจแข็ง ๆ ไม่มีอารมณ์ หรือพูดด้วยโทนเสียงที่ไม่สม่ำเสมอ
5.ใช้เครื่องมือออนไลน์ช่วยตรวจสอบ เช่น คลิปวิดีโอบางรายการสามารถใช้เว็บไซต์เช่น InVID https://www.invid-project.eu หรือโปรแกรมตรวจสอบ Metadata ได้
สุดท้าย บทเรียนที่ผมได้รับในครั้งนี้คือ “ความจริงเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป หากเราไม่มีความสามารถในการแยกแยะและตั้งคำถาม” ยุค AI ไม่ได้มอบแค่ความสะดวกสบาย แต่มันท้าทายกรอบความเชื่อและความจริงที่เราคุ้นเคยหากเราไม่เรียนรู้ที่จะป้องกัน วันนี้อาจแค่ใบหน้าของคุณที่ถูกปลอม แต่ในวันหน้าอาจเป็นทั้งชีวิตของคุณที่ถูกแทนที่โดยตัวปลอมโดยที่คุณไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ