สะเทือนใจชาวพุทธ

คงไม่มีข่าวและภาพข่าวอะไรที่ทำให้พวกเราชาวพุทธเศร้าสลด สะเทือนใจ เท่ากับข่าวและภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจคอมมานโดใช้กำลังบุกเข้าจับกุมพระภิกษุรูปหนึ่งในตอนรุ่งสาง ขณะที่ยังนอนจำวัดอยู่ในกุฏิ โดยเจ้าพนักงานใช้ค้อนปอนด์ทุบกุญแจประตูกุฏิ ถือหมายจับของศาลบุกเข้าไปจับกุม อ่านเนื้อหาตามหมายที่เจ้าพนักงานได้ตั้งข้อหาร้ายแรง หลายข้อหาเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา จากกรรมเมื่อครั้งที่พระภิกษุผู้นี้เข้านำการชุมนุมที่ถนนแจ้งวัฒนะพร้อม ๆ กับการชุมนุมของ กปปส.และมวลมหาประชาชน ออกเดินเท้ายึดถนน ปิดกรุงเทพฯ ยึดสถานที่ราชการด้วยกองกำลังติดอาวุธ

 

ที่สะเทือนใจก็เพราะเห็นภาพการใช้กำลังที่ขึงขัง รุนแรง เข้าจับกุมภิกษุ ด้วยกองกำลังติดอาวุธพร้อม ๆ กับเห็นภาพเจ้าหน้าที่นิมนต์พระจากวัดเสมียนนารี 4 รูปมาทำการสึก เพราะต้องข้อหาว่ากระทำความผิดทางอาญา ต้องพาไปศาลเพื่อขอฝากขัง เพราะผู้ต้องหาจะไปศาลทั้งผ้าเหลืองไม่ได้ ต้องสึกจากความเป็นพระภิกษุเสียก่อน จึงเป็นภาพที่เศร้าสลดและสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง หดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก

ขณะเดียวกันทางสถานีโทรทัศน์ก็นำภาพในอดีตเมื่อครั้งที่พระภิกษุผู้นี้เป็นผู้นำมวลชน พร้อมกับกองกำลังติดอาวุธ เข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “นักรบศรีวิชัย” ที่มีการนำมาจากต่างจังหวัด เข้ามายึดพื้นที่สาธารณะ พร้อมกับจับกุมนายตำรวจสันติบาล 3 นายมาสอบสวน ถูกข่มขู่เพื่อให้ปากคำกับพระภิกษุผู้นำในการชุมนุมเดินขบวน นายตำรวจสันติบาลทั้ง 3 คนมีอาการผวา ปากคอสั่น เมื่อต้องให้ปากคำต่อหน้าพระภิกษุที่มีนักรบยืนรายล้อมอีกที เป็นภาพที่สะเทือนใจเป็นอย่างยิ่งที่เห็นพฤติกรรมของพระภิกษุ ในพระพุทธศาสนาสายเถรวาททำเช่นนั้น

เศร้าสลดใจที่เจ้าพนักงานตำรวจสันติบาลซึ่งได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ให้มาปฏิบัติหน้าที่หาข่าวในกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการรักษาความสงบปลอดภัยของประชาชน อันเป็นภารกิจปกติของเจ้าพนักงานตำรวจสันติบาล ซึ่งการมาแฝงอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมโดยไม่แต่งเครื่องแบบ แต่งกายกลมกลืนเข้ากับมวลชนที่ชุมนุมกันอยู่

ความจริงภาพดังกล่าวก็เคยเห็นมาแล้วในขณะที่กำลังมีการชุมนุม มีความรู้สึกหวาดเสียวแทนญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงของนายตำรวจทั้ง 3 คนไม่ได้ว่า ถ้าเกิดให้ปากคำหรือแสดงกิริยาขัดขืนก็อาจจะถูกทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ชีวิตได้ เคราะห์ดีที่นายตำรวจสันติบาลทั้ง 3 คนอยู่รอดปลอดภัย แม้จะไม่เหลือศักดิ์ศรีเกียรติยศของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เลยก็ตาม เป็นภาพที่เศร้าสลดและสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง

ที่สะเทือนใจต่อมาอีกเมื่อได้ยินจากข่าวโทรทัศน์ ว่า นายกรัฐมนตรีกับรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงซึ่งเป็นรัฐมนตรีกลาโหมด้วย ออกมาขอโทษผู้ต้องหาที่ถูกเจ้าหน้าที่คุมขังในเรือนจำพิเศษ พร้อมทั้งตำหนิว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำรุนแรงเกินไป จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องออกมาชี้แจงว่า ผู้ต้องหามีกองกำลังติดอาวุธคอยคุ้มกัน ต้องดำเนินการอย่างฉับพลัน เพราะถ้ากองกำลังติดอาวุธคุ้มกันรู้ตัวก็อาจจะเกิดปัญหาต้องปะทะกัน แสดงว่าผู้หลักผู้ใหญ่

ในบ้านเมืองไม่ได้ตรวจสอบให้ละเอียด ใช้อคติ ความสนิทชิดชอบส่วนตัวเป็นพื้นฐานในการพูดความจริงแล้วเป็นหน้าที่ของรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้บังคับบัญชาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องดำเนินการจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี หากทราบว่ามีการกระทำผิดทางอาญาเกิดขึ้น มิฉะนั้นก็จะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157

การที่นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ออกมากล่าวคำขอโทษผู้ต้องหาตามหมายจับของศาล แม้จะเลี่ยงไปตำหนิตำรวจว่ากระทำการรุนแรงเกินกว่าเหตุ ก็พอสันนิษฐานได้ว่านายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ขอหมายศาล ไม่ได้มีคำสั่งให้จับกุมตามหมายของศาลก็ได้ ตำรวจต้องดำเนินการเองตามหน้าที่

ภาพที่เศร้าสลดใจและสะเทือนใจอีกรอบก็คือ ได้เห็นภาพนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นั่งพนมมือไหว้ภิกษุรูปนี้ที่ปิดทองคำเปลวให้ที่หน้าผาก เป็นภาพที่น่าอับอาย หากแพร่ไปทั่วโลกคงเป็นที่ขำขัน เวลาไปพบเพื่อนที่ต่างประเทศอาจจะถูกเย้าแหย่เป็นที่ขบขันว่า ลูกศิษย์เป็นผู้ปกครองประเทศ ส่วนอาจารย์อยู่ในคุก เป็นผู้ต้องหาคดีอั้งยี่ซ่องโจร ปล้นทรัพย์และอื่น ๆ

ที่เศร้าสลดใจและสะเทือนใจอีกเรื่องก็คือ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกฎหมายอาญาที่ปกป้องสถาบันอันเป็นที่เคารพสักการะของปวงชนชาวไทย ผู้ใดจะละเมิดมิได้ กลับไม่มีผู้ใดรวมทั้งผู้นำรัฐบาลออกมาปกป้องสถาบันจากการที่มีผู้ละเมิดกฎหมาย โดยนำเอาดวงตราพระปรมาภิไธยย่อ และพระนามาภิไธยย่อ มาใช้ทำพุทธพาณิชย์โดยมิได้รับพระบรมราชานุญาต หาผลประโยชน์ใส่ตัว ซึ่งเป็นวาระสำคัญของเรื่องนี้ โดยผู้นำรัฐบาลไม่ได้กล่าวตำหนิการกระทำเช่นว่านี้เลย แต่กลับเกรงใจกล่าวขอโทษผู้ต้องหา ราวกับว่าตำรวจทำเกินกว่าเหตุเพราะเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย แม้บัดนี้ก็ยังไม่ได้ยินคำตักเตือนจากรัฐบาลว่าไม่สมควรกระทำเช่นนี้อีก

หากจะอัญเชิญพระปรมาภิไธยหรือพระนามาภิไธยเต็ม หรือย่อมาผลิตวัตถุมงคลหรือสิ่งของ ก็ต้องขอพระบรมราชานุญาตเสียก่อน นอกจากป้ายถวายพระพรพร้อมด้วยธงชาติในวันเฉลิมพระชนมพรรษา หรือวันฉัตรมงคล ซึ่งคงจะมีพระบรมราชานุญาตเป็นการทั่วไปอยู่แล้ว การสร้างเหรียญสมเด็จเหนือหัว หรือ “เหรียญหนึ่งในปฐพี” เพื่อหารายได้โดยมิได้ขอพระบรมราชานุญาต ก็เข้าข่ายที่เจ้าพนักงานจะตั้งข้อหาได้อยู่แล้ว

เมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจนเมื่อได้มีการจับกุม นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีก็ไม่ควรออกความเห็น หรือแสดงความเกรงอกเกรงใจผู้ต้องหา หรือแม้แต่กล่าวตำหนิตำรวจในที่สาธารณะ หากจะทำก็ควรทำเป็นการภายใน เพราะนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ย่อมเป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้าพนักงานสอบสวน คำกล่าวของผู้บังคับบัญชาในเชิงเกรงอกเกรงใจหรือเคารพนับถือผู้ต้องหา ในที่สาธารณะย่อมส่งผลต่อความรู้สึกนึกคิดและขวัญกำลังใจของพนักงานสอบสวน และอาจจะมีผลต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานได้ ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อสังคมและประเทศชาติโดยส่วนรวม อาจจะกลายเป็นกรณีที่อ้างอิงเป็นตัวอย่างได้ในอนาคต

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่มีการปิดกรุงเทพฯ ของมวลมหาประชาชน และพัฒนามาเรื่อยจนมาถึงบัดนี้ ย่อมสร้างความสะเทือนใจให้กับพุทธบริษัททุกฝ่าย ทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ไม่ควรมีใครสะใจ เพราะเป็นสิ่งที่สะเทือนใจทุกฝ่าย ไม่เป็นผลดีกับผู้ใดเลย เป็นความสูญเสียของทุกคนที่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ซึ่งเกิดจากอารมณ์ที่ปลุกปั่นเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของคนบางกลุ่มบางเหล่าเท่านั้นเอง

เมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว ทุกฝ่ายก็ควรทำจิตให้ว่าง ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมทำงานอย่างอิสระและเป็นธรรม หรือที่ฝรั่งเรียกว่า “free and fair” ตามหลักนิติธรรมบ้านเมือง ต้องปกครองด้วยกฎหมาย หรือ “rule of law” มิใช่ปกครองตามอำเภอใจ

ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่กระบวนการยุติธรรมดำเนินมาถึงขณะนี้ แทนที่จะปล่อยให้คาราคาซังเป็นข้อข้องใจของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำครั้งนั้น

เมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว ทุกฝ่ายก็ควรตั้งสติให้มั่น ทำจิตให้ว่างตั้งอยู่ในเหตุผล ขจัดอารมณ์ รัก โกรธ หลงออกไป ขจัดอัตตวิสัยออกไป ยึดในภาวะวิสัยข้อเท็จจริง และหลักการในการปกครองประเทศของอารยชน แทนที่จะปล่อยอารมณ์ไปตามกระแสที่มีผู้ปลุกปั่นขึ้น

สำหรับลูกศิษย์ลูกหาก็ควรยึดมั่นว่า ทุกอย่างเป็นไปตามหลักไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีอะไรยั่งยืน ไม่มีตนที่จะยึดถือได้ ถ้าหลงผิดไปยึดถือก็เป็นทุกข์ สิ่งที่เคยคิดเคยเห็นอาจจะไม่จริง อาจจะเป็นภาพลวงตา

ศรัทธาแม้ว่าจะเป็นประโยชน์ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้น แต่ก็ไม่ใช่จุดหมาย จุดหมายที่แท้จริงต้องเกิดขึ้นจากการใช้ปัญญาเป็นบั้นปลาย ศรัทธาไม่ใช่สิ่งผิด แต่ต้องพัฒนาไปด้วยปัญญา

อย่าให้ความสะเทือนใจ ความสะใจ เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งความร้าวฉาน ควรจะขจัดความสะเทือนใจ ความสะใจ ให้สติตั้งมั่น แสวงหาความจริง ยึดมั่นในหลักนิติธรรมและเมตตาธรรม บ้านเมืองก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติต่อไป

ข้างหน้ายังมีประเด็นที่ชวนให้ขัดแย้งอีกมาก เพราะเป็นปกติของสังคม ความขัดแย้งควรจะจำกัดในรัฐสภาและยอมรับในกติกา หรือรัฐธรรมนูญ ถ้าเห็นว่ามีข้อบกพร่อง ก็แก้ไขรัฐธรรมนูญเสีย


การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับยกเว้นหมวดพระมหากษัตริย์ ไม่ควรวินิจฉัยว่าเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญตามความหมายที่บัญญัติใช้ในรัฐธรรมนูญ มิฉะนั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ต้องทำโดยการปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความแตกแยกในตัวของมันเองอยู่แล้ว ระบอบเผด็จการทหารย่อมเป็นสาเหตุของความแตกแยกที่ไม่มีทางแก้ไขโดยสันติวิธี ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก ครั้งนี้ควรจะเป็นครั้งสุดท้ายบ้านเมืองควรมีขื่อมีแปสักที