“เพื่อไทย” ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ-ผู้ตรวจ ตีความคำสั่ง 53/2560 ขัด รธน.เอื้อพรรคใหม่เปิดทางคสช.อยู่ในอำนาจต่อ

เมื่อเวลา 10.30 น. ที่พรรคเพื่อไทย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค พร้อมด้วยแกนนำพรรค อาทิ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรค นายชูศักดิ์ ศิรินิล หัวหน้าฝ่ายกฎหมายพรรค นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย ร่วมแถลงกรณีที่พรรคยื่นศาลรัฐธรรมนูญ และ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้พิจารณาคำสั่ง 53/2560 ว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ประกอบมาตรา 5 หรือไม่

ทั้งนี้ สมาชิกพรรคเพื่อไทยเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวมีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญในหลายประการและเป็นการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของสมาชิกพรรคการเมืองและพรรคการเมือง จึงได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ประกอบข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 ข้อ 17 (12) และข้อ 21 ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัย โดยประเด็นสำคัญที่เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญและเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพนั้น มีดังนี้

ประเด็นแรก คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2557 จึงไม่เป็นที่สุด และชอบที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของคำสั่งดังกล่าวได้ เนื่องจาก (1) สาระสำคัญของคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 เป็นเรื่องแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายดังกล่าว รัฐธรรมนูญ มาตรา 131 และมาตรา 132 บัญญัติให้เป็นอำนาจของรัฐสภา (หรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติปัจจุบัน) และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองนั้นได้ผ่านกระบวนการตราขึ้นโดยถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ผ่านความเห็นชอบของ สนช. ผ่านการพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของศาลรัฐธรรมนูญและพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว การที่หัวหน้า คสช.ออกคำสั่งแก้ไขกฎหมายดังกล่าวเท่ากับเป็นการลบล้าง (Overrule) กระบวนการตรากฎหมายตามรัฐธรรมนูญ

(2) ประเทศไทยมีความเป็นนิติรัฐหรือรัฐที่ปกครองโดยกฎหมาย มิใช่โดยอำนาจของบุคคล มีรัฐเป็นกฎหมายสูงสุด ยึดหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจอธิปไตยในทางนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการให้แก่องค์กรต่างๆ มีหลักประกันคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคล ดังนั้น หัวหน้า คสช.จึงเป็นเพียงผู้ได้รับอำนาจมาจากรัฐธรรมนูญอีกทอดหนึ่ง จึงไม่อาจใช้อำนาจที่ขัดหรือแย้งหรือนอกเหนือไปจากที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ได้
ประเด็นที่สอง คำสั่งหัวหน้า คสชที่ 53/2560 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ดังนี้ (1) การที่หัวหน้า คสช.ใช้อำนาจโดยไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้และใช้อำนาจซึ่งเป็นขององค์กรอื่น อันไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 131 และมาตรา 132 จึงเป็นการกระทำโดยที่รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจไว้ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง (2) การออกคำสั่งที่มีผลเป็นการลบล้างสมาชิกภาพของสมาชิกพรรคการเมือง มิใช่การออกกฎหมายจำกัดสิทธิเท่านั้น แต่เป็นการยกเลิกสิทธิของการเป็นสมาชิกพรรค จึงกระทบต่อสาระสำคัญของสิทธิเสรีภาพของบุคคลและเป็นการออกกฎหมายที่มีผลย้อนหลังเป็นโทษแก่บุคคล จึงขัดต่อหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคแรก

(3) การกำหนดให้ผู้ที่เป็นสมาชิกพรรค ถ้าจะเป็นสมาชิกพรรคต่อไปต้องทำหนังสือยืนยันต่อหัวหน้าพรรคพร้อมแสดงหลักฐานการมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามภายใน 30 วัน ซึ่งลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายของการเป็นสมาชิกพรรคมีหลายประการ ต้องขอหนังสือรับรองจากหน่วยงานต่างๆ ถึง 14 หน่วยงาน กรณีดังกล่าวจึงถือเป็นการเพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 26 วรรคแรก และยังขัดต่อหลักความเสมอภาคตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 วรรคแรกด้วย เนื่องจากผู้ที่สมัครสมาชิกใหม่ไม่ต้องดำเนินการดังกล่าว

(4) ในคำสั่งมิได้ระบุเหตุผลและความจำเป็นในการจำกัดสิทธิเสรีภาพของสมาชิกพรรคการเมืองข้างต้นไว้ จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 วรรคแรก เช่นกัน นอกจากนี้ คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 53/2560 ยังเป็นการละเมิดสิทธิทางการเมืองของพรรคการเมืองด้วย ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะได้ดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญและผู้ตรวจการแผ่นดินให้ดำเนินการต่อไป

อย่างไรก็ตาม คำสั่ง 53/2560 ความ นั้น ในคำสั่งดังกล่าวไม่ระบุเงื่อนไขความมั่นคง หากเป็นความมั่นคงในใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.ก็ไม่อาจจะนำมาอ้างได้

ด้านนายชูศักดิ์ กล่าวว่า ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล คสช. แม้กระทั่งฝ่ายนิติบัญญัติได้ออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ารัฐธรรมนูญมาตรา.265 ให้อำนาจมาตรา 44 ออกคำสั่งอะไรก็ได้ ให้ถือว่าคำสั่งนั้นชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ เป็นที่สุด เป็นคำพูดที่ชี้ว่ายื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ การที่กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดว่าคำสั่งดังกล่าวถือว่าชอบรัฐธรรมนูญ กฎหมายและที่สุด ความหมายจำเป็นจะต้องชอบด้วยรัฐธรรมนูญ กฎหมายในตัวมันเอง มิเช่นนั้น จะกลายเป็นว่า คสช.ออกคำสั่ง ทั้งนี้ คำสั่งที่ไม่ชอบ เช่น ไม่เสมอภาค เลือกปฏิบัติ มีเจตนาไม่สุจริตแลัวยังรับรองไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะเกิดปัญหาขึ้นมา ผู้ออกกฎหมายจะออกอะไรก็ได้ จึงชี้ว่าขัดรัฐธรรมนูญ.ขัดกฎหมายหลายบทหลายมาตรา จึงไม่เป็นที่สุด ชอบที่ศาลรัฐธรรมนูญจะ พิจารณาได้

“นอกจากนี้ คำสั่ง 53/2560 ที่ระบุเงื่อนไขเพื่อปฏิรูป เขียนเพื่อให้เข้าตามเกณฑ์แต่เมื่อวิเคราะห์ลึกๆ แล้ว คำสั่งดังกล่าวให้มีการยุบสาขาพรรค และสมาชิกพรรคการเมืองเก่า ถูกลดทอนความเป็นสมาชิกพรรค รอวันที่ 1 เม.ย.2561 เพื่อยืนยันความเป็นสมาชิกพรรค และพรรคเก่าทำอะไรไม่ได้ตราบใดที่ยังไม่ปลดล็อก แต่พรรคเล็กสามารถที่จะประชุมใหญ่ได้ เลือกกรรมการบริหารพรรคได้ พรรควิเคราะห์แล้วไม่เป็นคำสั่งเข้าข้อใดข้อหนึ่งเลย”

ด้านนายจาตุรนต์ กล่าวว่า หากเปรียบเทียบคำสั่ง 53/2560 เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจแข่งขันกัน หรือจะให้สถานีโทรทัศน์แข่งขันกันในการดำเนินการ แล้วกำหนดให้บริษัทที่มีอยู่ในประเทศไทยทั้งหมดจดทะเบียนกันใหม่หมด เพื่อเท่าเทียมกับบริษัทที่ตั้งใหม่ หรือสถานีให้ยกเลิกคณะกรรมการบริหาร และให้พนักงานให้สมัครใหม่หมด เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกับบริษัทที่เกิดใหม่ จะเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ใช่ตรรกะที่ถูกต้อง แต่คำสั่งดังกล่าวทำให้พรรคการเมืองใหม่เกิดความได้เปรียบ


“คำสั่งนี้ เป็นคำสั่งที่มุ่งทำลายพรรคการเมืองระบบพรรคการเมือง สร้างความเสียเปรียบ เพื่อให้ คสช.ได้อยู่ในอำนาจนานออกไป เพราะคำสั่งนี้ทำให้การเลือกตั้งเลื่อนออกไป และเป็นส่วนหนึ่ง คสช.กลับเข้าสู่อำนาจหลังการเลือกตั้ง เพื่อการสืบอำนาจ คสช.ได้มีการออกคำสั่งที่มีผลทำลายระบบกฎหมายของประเทศอย่างร้ายแรง ลักลั่น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ต้องผ่านการพิจารณาขององค์กรอิสระและตรวจสอบแล้ว แต่บัดนี้มีการออกคำสั่ง ไม่ต้องมีใครตรวจแม้แต่ศาลรัฐธรรมนูญ บอกว่า คสช.มีอำนาจเหนือทุกองค์กรและศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการทำลายหลักกฎหมายที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะมีรัฐธรรมนูญแล้ว คสช.ไม่อาจอ้างตัวเป็นรัฎฐาธิปัตย์อีกต่อไป” นายจาตุรนต์ กล่าว