การเมือง

“บิ๊กตู่” งงมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 12 ฉบับแล้ว ยังจนอยู่ ขอลดรายจ่าย สอนลูกอย่าเป็นภาระ

เวลา 10.00 น. ที่หอประชุมบุญชู ตรีทอง โรงเรียนห้องสอนศึกษาในพระอุปถัมภ์ฯ ต.จองคำ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานสักขีพยานในการมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในที่ชุมชน โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน (คทช.) ตามนโยบายรัฐบาล และกล่าวกับประชาชนตอนหนึ่งว่า คำขวัญจังหวัดที่ว่า หมอกสามฤดู กองมูเสียดฟ้า ป่าเขียวขจี ผู้คนดีประเพณีงาม ลือนามถิ่นบัวตอง ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระราชินีในรัชกาลที่ 9 เคยเสด็จฯมาแล้ว แต่ในระยะหลังสมเด็จพระราชินีทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทน ซึ่งตนจำได้ว่าในช่วงกลางคืนพระองค์ได้ทรงโทรศัพท์ปรึกษาหารือกันว่าสิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทำไว้ และพระองค์มาสานต่อถูกต้องหรือไม่ จึงถือเป็นความต่อเนื่องและความโชคดีของ จ.แม่ฮ่องสอน ที่ต้องรักษาและสืบสานต่อตามแนวทางของในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ทรงเป็นห่วงทุกเรื่อง ทั้งอัตลักษณ์ความหลากหลายและชาติพันธ์ุ รวมถึงพื้นที่ป่าและพื้นที่ทำกินที่ อีกทั้งต้องทำพื้นที่ที่ไม่ใช่ป่าให้เกิดความชัดเจน โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแสดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณา แต่ขออย่ากลับไปบุกรุกใหม่

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ส่วนเรื่องความอยู่ดีมีสุข การศึกษาและสาธารณสุข จะเน้นย้ำให้ดูแลมากขึ้น ซึ่งปัญหาคือการเดินทางไกลจะทำอย่างไรให้คนในพื้นที่ดูแลกันเองได้ เจ้าหน้าที่จึงให้คำปรึกษาผ่านระบบดิจิทัล โดยใช้อินเตอร์เน็ตปรึกษากับโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา โดยไม่ต้องเดินทางมาเว้นแต่เจ็บป่วย บาดเจ็บเร่งด่วนหรือร้ายแรง เพื่อลดภาระการเดินทาง ซึ่งปัญหาต่างๆ ที่ตนรับทราบมา คิดว่าหมดแล้วและตรงกับใจท่าน เพราะรัฐบาลนี้นำมาดูทุกอัน ไม่ใช่แค่แม่ฮ่องสอนที่เดียวแต่ดูทั้งประเทศ โดยนำทั้งหมดมาขับเคลื่อนให้ทั้ง 21 กระทรวงลงมาดูแล 76 บวก 1 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ หากจังหวัดใดที่มีปัญหามากก็ต้องแก้ก่อน นี่คือนโยบายของรัฐบาลนี้

โวมีงบ ขออะไรเร่งด่วนมาก็ให้ ขออย่าคอร์รัปชั่น

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์หน้าในลงเต็มหน้าเวลาตนพูดทุกอาทิตย์ ลองอ่านดูแล้วคิดตามที่ตนพูดใช่หรือไม่ นั่นคือสิ่งที่ทุกคนต้องมุ่งไปสู่ตรงนั้น ไม่เช่นนั้นจะวูบวาบอยู่แบบนี้ทุกอย่างต้องมีการพัฒนาเป็นขั้นเป็นตอน วันนี้ขอมาอะไรเร่งด่วนตนก็ให้ในระยะที่ 1 ทั้งจากงบของรัฐบาล งบของโครงการที่จะแก้ปัญหาความยากจน งบเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ งบของกลุ่มภาค กลุ่มจังหวัด ท้องถิ่น เราจะนำมาทำทุกอย่างที่มีปัญหาในขณะนี้ให้ได้ ขออย่างเดียวท้องถิ่นทำด้วยความโปร่งใสมีประสิทธิภาพ อย่าทำอะไรแบบเดิมๆ ไม่ระมัดระวัง ทุกอย่างมีกฎหมายทั้งสิ้น ทำเพื่อพี่น้องประชาชนเถอะ การคอร์รัปชั่นการบริหารราชการภาครัฐอะไรต่างๆ ต้องมีทิศทางเป็นระบบ แก้ปัญหาให้ได้ เพื่อเดินหน้าประเทศของเราในระยะ 20 ปี วันนี้มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 มี 12 แผนแล้ว แล้วทำไมมันยังจนอยู่ ซึ่งแผนนี้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติที่เราทำไว้ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน และจะมีแผนปฏิรูปสอดเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นมันต้องมีกิจกรรมที่ทำในทุกจังหวัด โดยเฉพาะแม่ฮ่องสอน ต้องหาให้เจอ อุปสรรคอยู่ที่ไหน ศักยภาพอยู่มีใด ทำยังให้เกิดการรวมกลุ่ม พัฒนาสหกรณ์ พัฒนาวิสาหกิจชุมชน อุตสาหกรรมขนาดย่อมในครัวเรือน อุตสาหกรรมขนาดใหญ่มันไม่ได้ เพราะติดปัญหาการขนส่ง ที่สำคัญต้องเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน วันนี้เขายอมให้ระดับหนึ่งเท่านั้น เราอาจจะอยากได้มากกว่านั้น ก็ต้องพูดคุยกันต่อไป ทำยังไงจะค้าขายได้ก่อน โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ถนนหนทางอะไรที่ทำได้ตนก็จะทำให้ในปีนี้ คิดว่าคงไม่มีปัญหาเว้นแต่จะขยายให้มันใหญ่โต มันทำไม่ได้เวลานี้

ชี้ปัญหาน้ำท่วม-หนี้สิน ใช้งบกว่า 3 ล้านล้านบาท

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ปัญหาน้ำท่วมภัยแล้ง และปัญหาหนี้สินสำคัญที่สุดรวมกันทั้งประเทศทุกกลุ่มทุกฝ่าย น่าจะมากกว่า 3 ล้านล้านบาท มากกว่างบประมาณรัฐหลายปี แล้วจะทำอย่างไร ก็ต้องลดการใช้จ่ายในน้อยลงที่สุดในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ ลูกหลาน ครู ก็ต้องสอนเด็กด้วยว่าอย่าเป็นภาระของพ่อแม่ เห็นเพื่อนเขามีอะไรก็อยากจะมีตาม พ่อแม่ก็ต้องไปกู้เงินเขา นั่นแหละคือตัวปัญหา แต่ถ้าเป็นหนี้สินที่เกิดแล้วมีมูลค่าสูงขึ้นในอนาคตก็จำเป็น ส่วนปัญหาสังคม อาชญากรรม ยาเสพติดเราต้องทำให้แม่ฮ่องสอนปลอดยาเสพติดให้ได้ ทั้งเขตเมืองและชายแดนไม่เป็นจุดที่จะแพร่ไปภายนอก ผมคิดว่าทุกอย่างมันก็ดีขึ้นแล้ว

“ในเรื่องสวัสดิการต่างๆ เราทำโครงการบัตรสวัสดิการคนจนระยะที่ 2 ทุกคนสามารถไปสมัคร อยากทำอะไร ก็จะมีงบประมาณเพิ่มเติมให้ในส่วนของบัตรเหล่านั้น แต่ต้องสมัครนะ มันมีหลายกิจกรรม ถ้าให้เงินเปล่าๆ ฟรีๆ อย่างเดียวมันก็เหมือนเดิม หรือให้เป็นเงินสดไปก็ไปใช้อย่างอื่นอีก มันไม่น่าใช่แล้วมันก็ไม่ได้ไปแบ่งเบาภาระของแม่บ้าน ขณะนี้จำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคของประชาชน แต่ถ้าท่านจะดีขึ้นต่อไปก็ต้องหาเงินให้ท่านไปให้ถูกวิธี” นายกฯกล่าว

ชี้ถ้าไม่เห็นชอบตรงกัน ประเทศไปไม่ได้

นายกฯกล่าวว่า การสอนในพื้นที่ห่างไกลให้ระบบดาวเทียม ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ เพื่อเพิ่มการเรียนรู้ศึกษาวิชาการ เราจะอยู่อย่างไรในวันหน้าที่ตนพูดทั้งหมดคืออนาคตประเทศ อนาคตลูกหลานของท่านทั้งหมด อย่าให้ใครพาชักชวนไปในทางที่ไม่ถูกต้อง ถ้าเราเดินหน้าถูกต้องประเทศไทยมีศักยภาพมากมาย เราสามารถนำพาอาเซียนไปด้วยกันได้ทั้งหมด ซึ่งวันนี้ผู้นำ 10 ประเทศตกลงจะนำพาอาเซียนไปด้วยกัน โดยไม่ต้องมีใครนำใคร เพราะเราคือผู้นำกันทั้งหมดที่จะนำพาอาเซียนให้เข้มแข็ง เพราะอาเซียนมีศักยภาพมากมาย ทางหลวงของเก่าของใหม่ทำให้ครบ มีการลาดยางปูพื้นถนนให้ดีขึ้น อ่างเก็บน้ำต้องดูว่าต้องทำเพิ่มขึ้นหรือไม่ ถ้าทำน้ำประปายังไม่ได้ก็ไปทำน้ำบาดาล ซึ่งวันนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาทั้งหมด อีกเรื่องคือการดูแลป่าสักป่าสักนวมินทรราชินีช่วยกันรักษาไว้ด้วย อีกเรื่องการท่องเที่ยวซึ่งจะมีปัญหาเรื่องไฟป่าและหมอกควัน ต่อให้เครื่องบิน จรวดก็มาไม่ได้ ถ้าหมอกควันเยอะเหมือนที่ผ่านมา ต้องทำให้ดีขึ้น ร่วมป้องกันกับเพื่อนบ้านประเทศเมียนมาด้วย ต้องแก้ปัญหาทำให้เกิดในประเทศให้ได้จะได้เป็นข้อบังคับกำหนดกฎเกณฑ์กับต่างประเทศเขาได้ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ศักยภาพที่อยู่ด้อยลงทันที

นายกฯกล่าวว่า ฝากพี่น้องประชาชน พลเรือน ตำรวจ ทหาร ข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัคร จิตอาสา ร่วมกันดูแล ถ้าเราดูด้วยกัน ไม่เห็นชอบที่ไปตรงกัน ไม่นิยมสิ่งดีๆ ร่วมกันประเทศก็ไปไม่ได้ เราต้องพัฒนาไปอีกเยอะพอสมควร โฮมสเตย์ต้องปรับทั้งหมด ตลอดเส้นทางต้องมีที่ท่องเที่ยวได้ตลอด มีร้านค้าที่มีคุณภาพไม่ใช่ทรุดโทรมหรือโก้เกินไป ต้องสวยงาม ใช้สิ่งที่มีในท้องถิ่นจัดให้สวยงามใช้ต้นทุนลดน้อยลง ใช้สติปัญญาในการดำเนินการ ตนถือว่าสถานที่ท่องเที่ยวเยอะกว่าทุกจังหวัด จะทำอย่างไรให้โดยสะดวกปลอดภัย รัฐบาลจะทำทุกอย่างให้กับท่านเพื่อใช้แม่ฮ่องสอนโมเดล สร้างป่า สร้างรายได้ พ้นจากความยากจนอย่างยั่งยืน เพื่อก้าวสู่เมืองท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เปิดประตูสู่ตะวันตก ยกระดับคุณภาพชีวิต พัฒนาสิ่งที่ยั่งยืน บนพื้นฐานความพอเพียงนี้คือที่รัฐบาลต้องทำ และประชาชนต้องช่วย

จากนั้นนายกฯถามว่า ใครไม่ช่วยยกมือ วันนี้ตั้งใจมาทุกคนทั้งรองนายกฯ และรัฐมนตรี

ที่มา : มติชนออนไลน์