พันธบัตรป่าไม้ นโยบายพรรคชาติพัฒนากล้า เพิ่มรายได้จากคาร์บอนเคดิต

กรณ์-หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า เทียบเชิญ ศศิน ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร-อดิศร์ ที่ปรึกษานโยบายทรัพยากรธรรมชาติและการลดก๊าซเรือนกระจก TDRI ร่วมร่างนโยบาย “พันธบัตรป่าไม้” เพิ่มพื้นที่ป่าเศรษฐกิจ คืนพื้นที่สีเขียว 40% สร้างรายได้เกษตรกร-คาร์บอนเครดิต

วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วยทีมงาน เดินทางไปยัง อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา เข้าพบนายศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร และนายอดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ปรึกษานโยบายทรัพยากรธรรมชาติและการลดก๊าซเรือนกระจก TDRI และอนุกรรมการพันธบัตรป่าไม้ เพื่อหารือถึงแนวคิดการใช้พันธบัตรป่าไม้ ที่จะเป็นความหวังในการแก้ปัญหาการลดลงของพื้นที่ป่าอันเกิดจากการบุกรุก ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนแล้ว ยังมีป่าเศรษฐกิจไว้ใช้อย่างยั่งยืนด้วย

กรณ์ พรรคชาติพัฒนากล้า

นายกรณ์กล่าวว่า ถือเป็นความโชคดีที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับอาจารย์ศศิน นักอนุรักษ์พื้นที่ป่าที่มีชื่อเสียง หลายท่านรู้จักเป็นอย่างดี และ ดร.อดิศร์ นักวิชาการที่มีความคิดแหลมคม ท่านได้ออกหนังสือมาหลายเล่มแล้ว และอาจารย์ศศิน ได้แนะนำให้ตนไปศึกษา สุดท้ายได้ออกมาเป็นนโยบาย พันธบัตรป่าไม้ ของพรรคชาติพัฒนากล้าในเฉดสีเขียว ซึ่งเป็น 1 ในยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเฉดสี เพื่อเป็นเครื่องมือใช้ในการส่งเสริมการปลูกป่า

นายกรณ์กล่าวว่า เป้าหมายของการออกพันธบัตรป่าไม้คือ เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าในประเทศให้ได้ 40% ของพื้นที่โดยรวม ซึ่งหมายถึงเราต้องปลูกป่าเพิ่ม 26 ล้านไร่ แต่เมื่อย้อนกลับไปดูนโยบายของทุกรัฐบาลที่ผ่านมา พบว่ามีการส่งเสริมให้มีการปลูกป่าด้วย 2 วิธีหลักคือ 1.ใช้กฎหมายควบคุมการบุกรุกป่า ซึ่งก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากพื้นที่ป่าลดลงทุกปี และ 2.การจัดสรรงบประมาณ

ศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร

“ที่ผ่านมาใช้งบประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี เมื่อมาคำนวณดูในแง่ของต้นทุนการปลูกป่าพบว่า ถ้าใช้ 500 ล้านบาทอย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถปลูกป่าได้ไม่เกิน 2 แสนไร่ต่อปี และถ้าจะให้ได้ตามเป้าหมาย 26 ล้านไร่ ต้องใช้เวลาประมาณ 130 ปี” นายกรณ์กล่าว

นายกรณ์กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่เราควรเอาจริงเอาจังกับการเพิ่มพื้นที่ป่า เพราะจะส่งผลโดยตรงในเรื่องของการบริหารจัดการแหล่งน้ำ การลดภาวะโลกร้อน การไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทยตามเป้าหมายที่รัฐบาลประกาศไว้ต่อหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งถ้าเราทำได้ดีก็จะสามารถได้พื้นที่กลับคืนมาจากการบุกรุกและแปลงสภาพป่าดั้งเดิมเป็นไร่ข้าวโพด ที่มีการใช้สารเคมี ยาฆ่าแมลง และการเผาป่าจนเกิดมลพิษ ฝุ่น ควัน และ PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้

กรณ์ พรรคชาติพัฒนากล้า

นายกรณ์กล่าวว่า การเพิ่มพื้นที่ป่ามีผลทางเศรษฐกิจในด้านบวก เราต้องทำความเข้าใจกับเกษตรกรว่า พันธบัตรป่าไม้ คือการหันมาปลูกป่า ดูแลป่า แทนการปลูกไร่ข้าวโพด พวกเขาจะมีรายได้ที่ดีกว่า รัฐบาลนี้ได้ปลดแอกพืชพันธุ์ไม้เศรษฐกิจ 58 ชนิด ให้สามารถปลูกได้โดยไม่ผิดกฎหมาย และในระหว่างรอการตัดไม้ไปขาย หรือประมาณ 8 ปีขึ้นไปนั้น

“ระหว่างการรอ ก็มีเงินจากกองทุนพันธบัตร ให้ใช้จ่ายเพื่อชดเชยรายได้ ซึ่งผมคำนวณผลตอบแทนกลับมาแล้วคุ้มกว่าชีวิตของการเป็นเกษตรกรปลูกข้าวโพดหลายเท่า เพราะไม่ต้องพึ่งพาสารเคมี ยาฆ่าแมลง หรือปุ๋ยเคมี ดังนั้น ผลต่อระบบนิเวศก็ดีกว่า ความยั่งยืนและความเสมอต้นเสมอปลายจากแหล่งที่มาของรายได้ก็มั่นคงกว่า” นายกรณ์กล่าว

นายกรณ์กล่าวว่า นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเป็นรายได้ให้กับเกษตรกรด้วยคือ คาร์บอนเครดิต ซึ่งในอนาคตจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ถ้ามีการปลูกป่าเพิ่มเติม ซึ่งในส่วนนี้ ประเทศไทยเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้น ราคาคาร์บอนเครดิต ยังต่ำว่าสหรัฐอเมริกาและยุโรป 10-20 เท่า เพราะฉะนั้นแนวโน้มในอนาคตเรื่องของคาร์บอนเครดิต คือประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เรามีโอกาสได้เพิ่มเติม

“การทำการเกษตรด้านการปลูกป่าเศรษฐกิจ จึงเป็นกลไกการตลาดที่สามารถขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ประเทศชาติ และสำคัญที่สุดคือประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนที่เป็นเกษตรกร ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พรรคชาติพัฒนากล้ามั่นใจว่านโยบายของเรามาถูกทางแล้ว” นายกรณ์กล่าว