ประวิตร ปราศรัย เลือกตั้ง 66 ภารกิจสุดท้ายในชีวิต เลือก พปชร.ประเทศไม่วุ่นวาย

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ประวิตร ปราศรัยใหญ่ พรรคพลังประชารัฐ ขอตอบแทนคุณแผ่นดิน ภารกิจครั้งนี้เป็นภารกิจสุดท้ายในชีวิต เลือก พปชร. เศรษฐกิจรุ่งเรือง ประเทศชาติไม่วุ่นวาย

วันที่ 12 พฤษภาคม 2566 ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง พรรคพลังประชารัฐ จัดงานปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยแกนนำคนอื่นๆ มาร่วมงานอย่างคับคั่ง

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า วันนี้ถือว่าสำคัญยิ่ง เป็นการปราศรัยครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่มาฟังปราศรัยในวันนี้ ทุกนโยบายที่เราหาเสียงไว้ ขอสัญญาว่าเราจะทำให้สำเร็จ เพราะตนเป็นบุคคลที่ไม่มีภาระใดๆ ไม่มีธุรกิจใดๆ ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง

“มีเพียงภารกิจเดียวที่จะเป็นภารกิจสุดท้ายในชีวิต คือการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้ประเทศไทย ขอให้ทุกคนช่วยกัน”

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมาของการเป็นรัฐบาล ตนสามารถพูดคุยกับทุกคน รับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายโดยไม่มีอคติใดๆ ตลอดชีวิตของตนมีหน้าที่ในการปกป้องประเทศจากศัตรูและภยันตรายในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ความมั่นคง ป้องกันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของเรา วันนี้ตนได้เห็นแล้วว่าประเทศของเรา

โดยเฉพาะปัญหาความยากจนและปัญหาปากท้อง ไปจนถึงการก้าวข้ามความขัดแย้ง และการก้าวล่วงสถาบัน การแทรกแซงทางการเมืองทั้งจากภายในประเทศและ นอกประเทศ ตนและพรรคพลังประชารัฐมุ่งมั่นจะเอาชนะปัญหาเหล่านี้ให้ได้

 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ขอให้รับรองว่าเราจะไปด้วยกัน ทุกนโยบายที่รับปากประชาชนไว้ จะทําทันทีที่เป็นนายกรัฐมนตรี ขอให้เชื่อมั่นว่าตนจะทำได้ พรรค พปชร.และผู้บริหารทุกคน จะนําประชาชนไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง พรรคพลังประชารัฐจะช่วยกันทำให้ประเทศมีความเจริญรุ่งเรืองต่อไป

“ขอให้เลือกผมและพรรคพลังประชารัฐ ประเทศชาติจะไม่วุ่นวาย เศรษฐกิจจะเดินหน้า ค้าขายจะเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไป เพราะฉะนั้นขอให้เลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 และขอฝากผู้สมัครของแต่ละเขตด้วย เราจะก้าวข้ามความขัดแย้งไปด้วยกัน เพราะถ้าประเทศเรามีความสงบ ความเจริญก็จะมาสู่ประเทศเราอย่างแน่นอน พรรคพลังประชารัฐ ผู้บริหาร และผู้สมัครทุกคน ยินดีที่จะทำเพื่อประชาชน นำความเจริญมาสู่ประเทศชาติ ขอให้ทุกคนก้าวข้ามความขัดแย้งไปด้วยกัน” พล.อ.ประวิตร กล่าว

 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ด้านนายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ผมในนามของพรรคพลังประชารัฐตลอดระยะเวลาหาเสียงกว่า 2 เดือน เราได้รับเสียงตอบรับที่อบอุ่นจากคนไทยทั้งประเทศ ต้องขอขอบคุณด้วยใจ ทั้งนี้ คนที่อาสาเข้ามาเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน ต้องเคารพการตรวจสอบได้ ประชาชนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด รักใคร ก็ต้องยอมรับกฎหมาย

ตนอยากจะเตือนสติว่า ไม่ว่าคุณจะได้รับการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย การเลือกตั้งคือ การที่คุณได้มีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศเท่านั้น ไม่ใช่คุณจะอยู่เหนือกฎหมาย แล้วมาใช้กฎหมู่ทำลายล้างกัน ดังนั้นประเทศเราต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง ของพรรคพลังประชารัฐ คือ อยากจะให้ประชาชนรักกัน

นายสกลธี กล่าวอีกว่า พรรคพลังประชารัฐมี กองทุนประชารัฐพัฒนาประเทศ 3 แสนล้านบาท ที่จะพัฒนากรุงเทพฯ ขอเพียงแค่ประชาชนให้โอกาสผู้สมัครของเราเข้าไปลงมือทำ ซึ่งพรรคเรามี พล.อ.ประวิตร เป็นผู้จัดการตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังการทำงาน จนทำให้รัฐบาลอยู่มาได้ถึง 4 ปี ผลงานที่ทุกคนรู้กันดีก็คือ แก้หนี้นอกระบบ แก้เศรษฐกิจ และแก้ปัญหาน้ำ

 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ด้านนายวราเทพ รัตนากร แกนนำพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า พรรคนี้อนาคตไกล จึงขอเป็นตัวแทนกรรมการบริหารพรรค พรรคนี้ไม่มีนายใหญ่ และไม่มีครูใหญ่ แต่มีใจบันดาลแรง วันนี้มีหลายเวที และที่ผ่านมามีวาทกรรมที่เกิดขึ้นตลอดการหาเสียง 60 วัน สร้างความเกลียดชังและใส่ร้าย แต่พปชร.มีนโยบายโดยไม่ต้องมีวาทกรรม ไม่ต้องแอบอ้างว่าคิดใหญ่ ทำเป็น แต่เราคิดเป็น ทำได้ และทำทันที บางคนบอกให้กาพรรคประเทศไทยไม่เหมือนเดิม แต่ถ้ากา พปชร.ประเทศไทยจะดีกว่าเดิม

นายวราเทพ กล่าวต่อว่า กว่า 20 ปี ท่ามกลางวิกฤตสถานการณ์ เห็นแต่พล.อ.ประวิตร ที่ทำได้ ถึงไม่ย้ายไปไหน หลายคนอยากกลับมา จึงบอกว่าหลังเลือกตั้งให้กลับมา ถามว่าผู้นำคนไหนเป็นแบบนี้ จะเลือกคนหนุ่มสาว แต่ผู้นำที่เคลือบแคลงจะมาเปลี่ยนแปลงจะทำให้เชื่อได้หรือไม่ เราต้องเลือกแบบมีเหตุผล ไม่ใช่เลือกข้างใดข้างหนึ่งแบบไร้สติ ขอให้ประชาชนคิดอย่างไรก็ได้เพื่อหยุดความขัดแย้ง และก้าวข้ามไปด้วยกัน

“วันนี้ไม่มีรัฐบาลพรรคไหนที่จะไม่ทำเพื่อประชาชน ทุกคนอยากทำเพื่อประชาชน แต่โอกาสไม่เหมือนกัน ครั้งที่แล้ว เราเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล และมีพรรคร่วม 19 พรรค แต่หัวหน้าเราไม่มีโอกาสเป็นนายกฯ แต่วันนี้หัวหน้าพรรค พปชร.มีโอกาสเป็นนายกฯ แล้ว และคิดว่าสามารถทำได้ในสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง โดย 4 ปีที่แล้วมีพรรคเดียวที่ชนะใจคนทุกภูมิภาคคือพรรค พปชร.ที่มีส.ส.ทุกภาค รวมทั้ง กทม.12 คน เพียงพรรคเดียว ได้ส.ส.116 คน ในครั้งนี้ขอให้ทุกคนพิสูจน์ว่า คน กทม.จะเลือกกลับมาเป็น 2 เท่า และผมเชื่อมั่นว่าทางออกของประเทศจะเกิดขึ้นได้ ถ้ามีผู้นำที่ตั้งใจ และเดินทางไปดูแลประชาชนครบทุกจังหวัด อย่าง พล.อ.ประวิตร” นายวราเทพ กล่าว

ด้านนายสนธิรัตน์ กล่าวกับพี่น้องประชาชนว่า อีก 2 วัน จะเป็นการชี้ชะตาของประเทศไทย กว่า 10 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยตกอยู่ในวังวนความขัดแย้ง ครั้งนี้เราจะปล่อยให้ประเทศเดินเข้าวังวนแบบนั้นอีกหรือไม่? เราต้องหยุดวงจรนี้และเดินหน้าไปพร้อมกับพรรคพลังประชารัฐ เรากำลังจะได้ตัดสินอนาคตของพวกเราทุกคน มันจะมีผลกระทบต่อชีวิตคนไทยทั้งประเทศ

 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

“พรรค พปชร.จะเป็นสถาบันทางการเมืองที่จะพาพี่น้องคนไทยผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ เพราะหลายคนกำลังกังวลถึงความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคการเมืองที่จะเข้ามายุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้น พรรคที่สามารถเชื่อมโยง พูดคุย กับทุกพรรค นั่นก็คือ พรรค พปชร.ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่เหมาะสมที่วุดในสถานการณ์ตอนนี้ เพราะผู้นำทางการเมืองต้องพร้อมที่จะเป็นกาวใจให้กับทุกฝ่าย ต้องมีบารมีที่ทุกฝ่ายให้ความแกรงใจ รวมถึงพร้อมรับฟัง และพร้อมทุ่มเมฃทแรงกาย แรงใจให้กับประชาชน” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ที่มาดักรอ พล.อ.ประวิตร หน้าอาคารกีฬาเวสน์ เพื่อสอบถามจุดยืนเรื่องนโยบายกัญชาเสรี หากเป็นนายกฯ จะแก้ปัญหาเรื่องกัญชาอย่างไร โดย พล.อ.ประวิตรระบุว่า ตนรับทราบและสนับสนุนแต่การนำนโยบายกัญชามาใช้ทางการแพทย์เท่านั้น ไม่ใช่ใช้เสรี ไม่ใช้เสพ

ก่อนที่นายชูวิทย์จะกล่าวว่า ถ้าได้เป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งหน้า ในฐานะประชาชน ขอฝากให้ พล.อ.ประวิตรดำเนินการในเรื่องนี้อย่างจริงจัง


โดย พล.อ.ประวิตรรับทราบ จากนั้นนายชูวิทย์ได้ยกมือไหว้พร้อมอวยพรให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ซึ่ง พล.อ.ประวิตรยิ้มรับ พร้อมกล่าวว่า “คุณก็เลือกผมสิ” หลังจากนั้น พล.อ.ประวิตรได้เดินทางกลับทันที