บทสรุปโพลมติชน x เดลินิวส์ สะท้อนการเมืองภาพใหญ่ ให้แก้เหลื่อมล้ำ

โพลมติชน x เดลินิวส์
คอลัมน์ : Politics policy people forum

รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ครบ 2 เดือน กำลังเดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจคู่ขนานการเมือง สอดคล้องกับเวทีสรุปผลโพล มติชน x เดลินิวส์ : รัฐบาลเศรษฐาควรแก้ปัญหาอะไร ?

นักวิชาการได้วิเคราะห์คำตอบจากกลุ่มตัวอย่างกว่า 40,000 คน

ที่มีผลออกมาว่ารัฐบาลควรแก้ปัญหาปากท้องก่อน แก้ปัญหาโครงสร้างทางการเมือง

ต่อไปนี้คือเสียงสะท้อนจากเวทีสรุปผลโพลของ 2 สื่อใหญ่ มติชน x เดลินิวส์ ส่งไปถึงรัฐบาลที่จะต้องรับฟัง

กาง 2 โจทย์ใหญ่รัฐบาล

ปราปต์ บุนปาน รองกรรมการผู้จัดการสายเทคโนโลยีและดิจิทัลมีเดีย บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โจทย์ใหญ่ ๆ ในฐานะสื่อที่ทำโพล ผ่านประสบการณ์การทำโพลกับเดลินิวส์ 2 รอบใหญ่ และ 3 ครั้ง จะเห็นภาพใหญ่สุดคือตัวเลขผู้ร่วมทำโพล โดยเฉพาะครั้งนี้ รัฐบาลเศรษฐาควรแก้ปัญหาอะไร เทียบกับโพลเลือกตั้ง จะเห็นว่าการมีส่วนร่วมไม่เท่ากับโพลเลือกตั้ง ตัวเลขจะลดครึ่งหนึ่ง

ตอนโพลเลือกตั้ง การโหวตครั้งหนึ่ง 8 หมื่น 2 ครั้ง รวม 1 แสน ขณะที่ครั้งนี้ 4 หมื่นกว่า เราสามารถประเมินได้เหมือนกันว่าเกิดจากอะไรบ้าง ในฐานะคนทำสื่อ เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายไหม..ไม่เหนือเสียทีเดียว เพราะในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ข่าวการเมืองที่คนติดตามข่าวการเมืองลดลง คนอาจจะอิน หรือ กระตือรือร้นกับการเมืองลดลง

ADVERTISMENT

แต่ขณะเดียวกันก็น่าคิดว่า มีความขัดแย้งในกระบวนการจัดตั้งรัฐบาล การได้มาซึ่งรัฐบาลชุดนี้ ไม่ใช่ว่าได้รับการเห็นด้วยจากคนทั้งหมดในสังคม ดังนั้น ตัวเลขคนทำโพลรอบนี้มีนัยเชื่อมโยงต่อการเมืองภาพใหญ่ด้วยเหมือนกัน ในเมื่อคนจำนวนหนึ่งรู้สึกว่าเขาอาจไม่ได้สนับสนุนวิธีการจัดตั้งรัฐบาลแบบนี้ จำเป็นไหมต้องร่วมแสดงความคิดเห็น

ดังนั้น จึงมี 2 นัย ระหว่างคนไม่ตื่นตัวทางการเมืองแล้ว กับคนที่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งกับรัฐบาล ดังนั้น ไม่ว่าเป็นโจทย์อะไรก็ตาม ก็จะเป็นโจทย์ใหญ่ ถ้ามองในมุมรัฐบาล ที่เป็นรัฐบาลอีกเฟสหนึ่งของการรัฐประหาร 2557 เป็นรัฐบาล post ลุงตู่

ADVERTISMENT

แม้แต่นายกฯ และพรรคเพื่อไทยก็พูดตรงกันว่า ใช้ต้นทุนไปหมด ดังนั้น เมื่อใช้ต้นทุนไปหมดก็ต้องการเสียงสนับสนุนจากคนเยอะ แต่ ณ ปัจจุบัน สิ่งที่เราเห็นจากโพล หรือ จากกระแสคนอ่านข่าวการเมือง จะเห็นคนอย่างน้อย ๆ ครึ่งหนึ่ง ยังไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองควรมีส่วนร่วมกับรัฐบาลชุดนี้ ถึงนำมาสู่นโยบายจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าจะสำเร็จแค่ไหน นี่คือภาพรวมใหญ่สุดที่เห็นจากโพล

หวังรัฐบาลลดต้นทุนเกษตรกร

ปารเมศ เหตระกูล กรรมการบริหารหนังสือพิมพ์เดลินิวส์และเดลินิวส์ออนไลน์ กล่าวว่า การทำโพลครั้งนี้สะท้อนเรื่องใดบ้างนั้น มีทั้งนายกรัฐมนตรี นักการเมือง ดารา ภาคประชาสังคม ภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมทำโพลครั้งนี้ ถ้าพูดถึงดารา มองว่าเป็นผลบวกกับโพล เพราะดาราเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนทั่วไป น่าจะมีส่วนช่วยให้ประชาชนมาร่วมโหวตโพลมากขึ้น

แต่ในส่วนนักการเมือง มองได้ 2 มุมคือ ถ้าชอบนักการเมืองท่านนั้นก็อาจจะช่วยโหวตด้วย แต่อีกมุมหากไม่ชอบอาจจะไม่สนใจโพลครั้งนี้ ส่วนผลโพลที่ออกมา ดูแบบกว้าง ๆ จะพบว่า คนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปร่วมโหวตกว่า 80% เท่ากับว่าคนที่มีอายุเกิน 30 ปี ให้ความสนใจประมาณหนึ่ง

ขณะเดียวกันคนที่อายุน้อยลงมานั้น ถือว่าให้ความสนใจทำโพลน้อย ประเด็นนี้อาจจะเหมือนอย่างที่นายปราปต์ระบุว่า อาจมาจากกระแสการเมือง พอโหวตแล้วไม่ได้รัฐบาลตามเจตจำนง ทำให้ประชาชนอาจไม่สนใจการเมือง ซึ่งตรงนี้อยากสื่อสารว่าจริง ๆ แล้ว อยากให้คนอีกรุ่นหนึ่งเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองมากกว่านี้

เพราะจะเป็นผลดีต่อประเทศชาติ เพราะการที่เราทำโพลออกมาแล้วมีคนเข้ามามีส่วนร่วมมาก ยิ่งคนที่อายุน้อย คือ ต้องมาว่าอนาคตประเทศนับจากนี้ ขึ้นอยู่กับเสียงของพวกคุณ จึงมองว่าควรต้องมาสนใจให้มากกว่านี้ เพื่อให้เห็นถึงความต้องการที่แท้จริงของประชาชน

ทางนักวิชาการที่สะท้อนผลโพลระบุว่า มีทั้งที่อยากให้แจกปลากับประชาชน และให้สอนวิธีการหาปลาให้กับประชาชน แต่ตนมองว่าส่วนหนึ่งประชาชนอยากได้อุปกรณ์ การส่งเสริมให้การจับปลาจับได้ง่ายขึ้น อีกประเด็นคือ คนสะท้อนว่าอยากให้มีการตัดค่าใช้จ่าย อย่างชาวนาก็ต้องการให้มีการลดต้นทุนด้วย

ประเด็นนี้ก็ไม่ได้อยู่ในโพล ก็คือเป็นเรื่องสำคัญ จริง ๆ แล้ว ชาวนา ชาวสวน ถือเป็น ประชากรหลักของประเทศ ตรงนี้เป็นหน้าที่รัฐบาลต้องเข้าไปช่วยลดต้นทุนให้เขาด้วย ประเด็นนี้ทุกรัฐบาลประกาศว่าจะทำ แต่ยังไม่เห็นรัฐบาลใดทำอย่างจริงจัง จึงอยากฝากไปถึงรัฐบาลด้วย

เหลื่อมล้ำแทรกในทุกปัญหา

ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ความตั้งใจที่ทำโพลนี้ชี้ให้เห็นถึงความปรารถนาที่แท้จริงของประชาชน เราอาจเห็นความปรารถนาที่แท้จริงของผู้ที่ไม่เคยมีเสียง หรือ เสียงเขาไม่ดัง ซึ่งทุกคนควรจะต้องฟัง และลึกลงไปในความปรารถนานี้ที่เขาลงแรง ทั้ง 2 ด้านเรื่องปัญหาโครงสร้าง หรือ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ สะท้อนถึงผู้คนรับรู้ถึงปัญหา วางตัวเองอยู่ในเงื่อนไขของปัญหานั้น ทั้งแก้ปัญหาปากท้อง ลดค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ซึ่งค่าน้ำมันเป็นเรื่องใหญ่สุด

มองลึกลงไปทั้ง 2 กลุ่ม เขาตระหนักถึงความเหลื่อมล้ำ เขารู้สึกว่าความเหลื่อมล้ำคือปัญหา เพียงแต่เฉพาะหน้าเขาอาจเลือกตอบเรื่องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน

ส่วนเรื่องโครงสร้าง แก้รัฐธรรมนูญ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปฏิรูปกองทัพ คือความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เหลื่อมล้ำ และสัมพันธ์อยู่กับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เขาต้องการเครื่องมือจับปลา ไม่ได้ต้องการปลา

ปัญหาความเหลื่อมล้ำเราเห็นชัดเจนในสังคมไทย ถ้าหากรัฐบาลนี้ หรือ พรรคฝ่ายค้าน หรือรัฐบาลหน้า มองเห็นถึงปัญหานี้ ต้องคิดถึงรายละเอียดมากขึ้น การสำรวจโพลนี้ นำไปสู่คำถาม ต้องทำกันอีกเยอะแยะ ปฏิรูปกองทัพทำอย่างไร คงไม่ใช่แค่ยุบ กอ.รมน. หรือถ้าลดน้ำมันอย่างนี้ อีกไม่กี่เดือน ค่าไฟก็จะขึ้นแล้ว ทั้งหมด ถ้าคิดถึงความเหลื่อมล้ำกับเศรษฐกิจที่ไปด้วยกัน รัฐบาลนั้นจะกลายเป็นรัฐบาลของรัฐบุรุษ

แต่ถ้าแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ได้รับความชื่นชมระดับหนึ่ง อย่าลืมว่า 30 บาทรักษาทุกโรค ไม่ใช่แค่สวัสดิการแบบยื่นให้ แต่เปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจไปเลย ดังนั้น ความสำคัญของโพลนี้แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้าของพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่อยากให้เข้ามาดูแลแก้ไข และมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ

“คนจำนวนมากตระหนักแล้วว่าการลดค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน คือมันซับซ้อนกว่าลดแบบปัจจุบัน เราสามารถมองทะลุเข้าไปว่าประชาชนเข้าใจอะไร รวมถึงแก้ปัญหาหนี้สินครัวเรือน หนี้สาธารณะ ทันทีที่พูดถึงหนี้สาธารณะ ผมคิดว่าคนที่เลือกข้อนี้นอกจากนึกถึงหนี้ส่วนตัวแล้ว กำลังคิดถึงว่าถ้ากู้หนี้มา ฉันก็ต้องใช้หนี้ไป เหมือนกระแสแจกเงิน 10,000 บาทไม่ขึ้น เพราะรู้สึกว่าถ้ารัฐบาลกู้มาเมื่อไหร่ ลูกฉัน โคตรฉันต้องจ่ายด้วย”

“แต่อาจจะยกเว้นบางกลุ่มที่มีความจำเป็นเฉพาะหน้า กลุ่มที่เลือกดิจิทัลวอลเลตสูงมากที่สุด คือ คนที่มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท แต่ถามว่าเขารู้ไหมว่าการแจกเงินดิจิทัลวอลเลตสัมพันธ์กับชีวิตเขา ผมคิดว่าเขารู้ ดังนั้นจึงฝากถึงรัฐบาลว่า อย่าไปคิดแค่ว่าปัญหาปากท้องอย่างเดียว เพราะปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนวันนี้ เขาตระหนักว่ามีความเหลื่อมล้ำอยู่อย่างมากมา” ดร.อรรถจักร์กล่าว

ดร.อรรถจักร์กล่าวอีกว่า เรื่องดิจิทัลวอลเลต รัฐบาลคงจะได้แต้มช่วงสั้น ๆ แต่ท้ายสุดแล้วประชาชนคิดว่าคงไม่ใช่แค่นั้น ลดค่าน้ำมันจะแก้ได้กี่เดือน ค่าไฟก็คงจะยาก คะแนนก็ไม่ได้ และคนก็จะรู้สึกว่าถ้ารัฐบาลทำแค่นี้ก็หลอกประชาชนตามมา

ประชาชนตื่นรู้

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติปรีดีพนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็น คือ ประชาชนเป็นพลเมืองที่มีความตื่นรู้มากขึ้น เพราะเริ่มพูดถึงปัญหาเชิงโครงสร้างมากขึ้น ถ้าเราดูในส่วนของ “ปัญหาเศรษฐกิจ” จะเห็นว่าประชาชนค่อนข้างห่วงปัญหาเฉพาะหน้าตัวเอง เรื่องหนี้สิน อยากมีรายได้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็เห็นว่าต้องแก้โครงสร้างใหญ่ คือ กฎหมายและรัฐธรรมนูญ และส่วนใหญ่รู้สึกว่าประเทศนี้ไม่ยุติธรรม จากข่าวหลาย ๆ อย่าง สะท้อนความไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้

กลับมาที่ปัญหาเศรษฐกิจ ประชาชนเริ่มเชื่อมโยงเรื่องค่าไฟแพง น้ำมันแพง มีหนี้สินมาก ไม่ใช่ว่าเพราะเขาไม่ขยัน ไม่มีวินัยทางการเงิน แต่ตนคิดว่าการที่รัฐบาลลดภาษีสรรพสามิต ใช้กองทุนแทรกแซงให้ราคาน้ำมันลดลงมาต่ำกว่าปกติ ไม่สะท้อนความปกติของกลไกตลาดโลก ซึ่งไม่ได้แก้ปัญหาระยะยาว ดังนั้น รัฐบาลต้องปรับสัมปทานใหม่ ปฏิรูปด้านพลังงานให้เป็นธรรม

“เราวิเคราะห์ผลโพล และจะแนะนำว่ารัฐบาลต้องทำอะไร ต้องทำงานเชิงโครงสร้างมากขึ้น การให้ยาแก้ปวดไม่ใช่การแก้ปัญหา โครงสร้างต้องการการผ่าตัด ความสัมพันธ์ทางการผลิตที่เหลื่อมล้ำและมีอำนาจผูกขาด นำมาสู่ความไม่เป็นประชาธิปไตย สำคัญกว่ารัฐธรรมนูญด้วยซ้ำไป ต้องแก้เศรษฐกิจผูกขาดก่อน ถึงจะแก้รัฐธรรมนูญได้”

ความหวังคือ ประชาชนตื่นรู้มากขึ้น ความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ในระบบการเมือง ในชนบท อำนาจเบาลง แต่ไม่ได้หมดไป ดูได้จากผลการเลือกตั้งล่าสุด ชัดเจนว่าการทำงานของระบบอุปถัมภ์ไม่สามารถทำแบบเดิมได้แล้ว เพราะสังคมไทยเปลี่ยนไป คนตื่นรู้เพราะโซเชียล เข้าถึงข้อมูล

แต่จะไปต่อได้เมื่อต้องปฏิรูปเศรษฐกิจ ให้คนสามารถเข้าถึงแหล่งทุน เข้าถึงที่ดินได้มากขึ้น เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้มากขึ้น เข้าถึงความยุติธรรมที่ดีขึ้น ถึงจะเปลี่ยนประเทศได้จริง และรัฐบาลควรจะทำสิ่งนี้มากกว่าการให้ยาแก้ปวด ยาแก้ปวดไม่ได้ช่วยอะไร แต่ก็ต้องให้ ในทางการเมือง ถ้าไม่ให้ก็ลำบาก

“สิ่งสำคัญสุดคือเราคงต้องประเมินสภาวะเศรษฐกิจก่อน ว่าตอนนี้เศรษฐกิจฟื้นหรือยัง ถ้าฟื้นระดับหนึ่งก็ไม่จำเป็นต้องกู้เงินมาแจก แต่เราก็ต้องเข้าใจรัฐบาลว่า ‘เป็นนโยบายหาเสียง’ ในมิติรัฐศาสตร์ แต่ในมิติเศรษฐศาสตร์ ตนมองว่าไม่จำเป็น ยกเว้นต้องการให้เศรษฐกิจโต 5% แต่ถ้าเศรษฐกิจโตภายในปีนี้ แล้วปีหน้าอาจจะเกิดภาวะความเสี่ยงทางการคลัง ก็ต้องพิจารณาควบคู่กันไป”

จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ

ส่วนการ “กู้เงิน” มาจะทำให้เกิดปัญหาหรือไม่ รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวว่า การบริหารประเทศต้องดูระยะยาว 10-20 ปี แต่การกู้เงิน 500,000 ล้านบาท จะทำให้เกิดวิกฤตหนี้สาธารณะหรือไม่ ยังไม่เกิดเพราะเพดานยังไม่ทะลุ 70% ของจีดีพี ถ้ากระตุ้นแล้วเศรษฐกิจโต หนี้จะไม่เพิ่มเลย

แต่จะน่าห่วงในเรื่อง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง หลายมาตราที่ต้องไปดูว่าจะขัดหรือไม่ รวมทั้ง พ.ร.บ.หนี้สาธารณะ และรัฐธรรมนูญมาตรา 114 ด้วย ถ้ามองในเชิงนิติศาสตร์

“นี่จึงเป็นเหตุผลที่ในทางการเมือง รัฐบาลถึงออกเป็น พ.ร.บ.ในทางการเมือง อาจจะติด สว. หรือศาลรัฐธรรมนูญ พยายามแล้วแต่ทำไม่ได้”

แต่ถ้ารัฐบาลอยากจะทำก็ทำ เพราะถ้าดูจากเศรษฐกิจ คือ 1.ดัชนีมีความเชื่อมั่นภาคบริโภคฟื้นตัว 2.การท่องเที่ยวขยายตัวต่อเนื่อง ปีนี้เทียบกับตอนโควิดโตขึ้นมา 200 กว่าเปอร์เซ็นต์แล้ว ยังไม่ฟื้นกลับไปเท่ากับปี 2562 แต่นักท่องเที่ยวก็เพิ่มขึ้นเยอะ การส่งออกมีสัญญาณบวก ภาคการท่องเที่ยวทยอยตื่นตัว ถ้ากระตุ้นก็อาจจะเพิ่มขึ้นไป 3-5 เปอร์เซ็นต์

“แต่มีประเด็นมากมายที่คาดการณ์ยาก เช่น สงครามอิสราเอล-ฮามาส จะขยายหรือไม่ ราคาน้ำมันจะบีบขึ้นไปหรือไม่ อันนี้จำเป็นต้องมีเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งที่จริงจำเป็นต้องสำรองเงินเป็นกระสุน”

“หากเศรษฐกิจทรุดจะสามารถปั๊มขึ้นมาได้ เพราะล่าสุดเงินเฟ้อติดลบ เริ่มเกิดขึ้นในประเทศในเอเชียแล้ว”