เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ที่มณฑลทหารบกที่ 11(มทบ.11) พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 (ผบ.มทบ.11) ตรวจเยี่ยมการดำเนินการรับ-ส่งทหารกองประจำการประจำปี 2561 ในผลัดที่ 1/2561 ให้กับหน่วยรับทหารกองประจำการในพื้นที่รับผิดชอบของมณฑลทหารบก 5 จังหวัดประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และนครปฐม ในห้วงวันที่ 1 และ 3 พฤษภาคมนี้ จำนวน 5,525 นาย แบ่งเป็น ทหารกองประจำการที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของ มทบ. 11 จำนวน 30,94 นาย และทหารกองประจำการที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ส่งช่วย มทบ. 11 จาก 13 จังหวัดภาคอีสาน อีก 2,476 นาย โดยมีผู้ปกครองมาส่งและให้กำลังใจบุตรหลานอย่างคับคั่ง
พล.ต.ปิยพงศ์ กล่าวว่า มทบ.11 จะทำหน้าที่แบ่งชายไทยที่ผ่านการตรวจเลือกแล้ว ในพื้นที่กรุงเทพ และ ปริมณฑล มาจัดแบ่งลงหน่วยทหาร 38 หน่วย ทั้งนี้เราได้ทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง ถึงขั้นตอน ต่างๆภายหลังจากส่งเข้าหน่วย จะมีการฝึก ทหารใหม่ผลัดที่ 1 จำนวน 10 สัปดาห์ โดยสัปดาห์แรกเป็นงานด้านธุรการ และเริ่มขบวนการฝึกจากเบาไปหาหนัก พร้อมจัดทำประวัติ ว่าแต่ละคนมีความรู้ในด้านใดบ้าง หลังจากนั้นเมื่อผ่านไป 1 เดือนก็จะเปิดโอกาสให้ ผู้ปกครองมาเยี่ยม ทั้งนี้ในสัปดาห์ที่ 10 จะเป็นการตรวจสอบการฝึกที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อครบแล้วจะมีการฝึกเฉพาะหน้าที่อีก 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นก็จะแยกย้ายขึ้นตรงกองร้อย
พล.ต.ปิยพงศ์ ยังกล่าวต่อว่า สำหรับชายไทยคนใดที่มีครอบครัวยากจนทางหน่วยจะเข้าไปช่วยเหลือดูแล ซึ่งกองทัพมีโครงการดูแลข้าราชการชั้นผู้น้อยอยู่แล้ว ที่มีฐานะยากจนและมีความลำบาก จากการประกอบอาชีพก่อนที่จะมาเป็นทหาร ซึ่งที่ผ่านมากองทัพบกดูแลมาโดยตลอด เหมือนน้องคนเล็กที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน
“ในช่วงฤดูกาลนี้เป็นการฝึกในหน้าร้อน พล.อเฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก มีความห่วงใย ได้เน้นย้ำ ให้ระมัดระวังโรคจากลมร้อน ซึ่งเราจะมีการเตรียมค้นเครื่องไม้เครื่องมือและให้ความรู้ กลับตัวทหารใหม่ ว่าจะต้องระมัดระวังอะไรบ้าง และเป็นขั้นตอนที่จะต้องฝึก และต้องดูแลการเพื่อให้เกิดความปลอดภัย ถือเป็นมาตรการในการดูแลสุขภาพร่างกายในระหว่างการฝึก อย่างไรก็ตามเรามีระบบคัดครูฝึกที่ดี จะไม่มีการทำร้าย ทุบตี เราจะดูแลทหารใหม่เหมือนดูแลคนในครอบครัว” พล.ต.ปิยพงศ์ กล่าว
ในขณะที่นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ ไอติม หลานชาย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปปัตย์ เดินทางด้วยรถบรรทุกทหาร ภายหลังรับการรายงานตัวกับสัสดี เขตสวนหลวง มายัง มทบ.11ในเวลาประมาณ 09.00 น.โดยมีสีหน้ายิ้มแย้ม และยอมรับว่ารู้สึกอ่อนเพลีย เพราะเมื่อคืนนอนน้อย เนื่องจากต้องเคลียร์งานทุกอย่าง เพื่อมาทำหน้าที่ตามกฎหมายเป็นเวลา 6 เดือน ทั้งงานด้านรายการโทรทัศน์ และงานด้านการเมือง ส่วนการเตรียมใจนั้นได้เตรียมใจมานานแล้ว เพราะวางแผนมาก่อน
นายพริษฐ์ กล่าวว่า ในส่วนของการเตรียมการในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา มีงานจำนวนมาก มีเวลาพักผ่อนวันละ 3-4 ชั่วโมง จึงทำให้ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ทั้งนี้เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาพ่อแม่มาส่งที่เขตสวนหลวง และบอกว่าอะไรที่เตรียมไปได้ก็ให้นำไปด้วย ซึ่งตนก็เป็นหนึ่งในแสนคนที่มาเป็นทหารใหม่ พ่อแม่ทุกคนก็มีความเป็นห่วงลูกเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนกับนายอภิสิทธิ์ก็มีการพูดคุยกันเรื่องการเมืองโดยมีการประชุมร่วมกันครั้งสุดท้ายเมื่อ 3 วันที่ผ่านมา ก่อนที่ตนจะเข้ามาทำหน้าที่เป็นทหารใหม่ในเรื่องของนโยบายและทิศทางของพรรคประชาธิปัตย์ในช่วง 6 เดือนที่ตนจะหายไป รวมถึงทีมคนรุ่นใหม่ที่อยากเข้ามาร่วมงานด้วย
เมื่อถามว่าคิดอย่างไรกับข้อเสนอให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารและเรียกร้องให้ใช้การรับสมัครแทน นายพริษฐ์ กล่าวว่า การที่ตนสมัครเป็นทหารไม่ได้คิดว่าในอนาคตควรหรือไม่ควรกับการมีระบบเกณฑ์ทหาร แต่ตนทำหน้าที่ตามกฎหมาย เพราะตนไม่ได้เรียนหลักสูตรนักศึกษาวิชาทหาร เนื่องจากศึกษาอยู่ต่างประเทศ เมื่อถึงเวลาก็ไม่ได้จับใบดำใบแดง แต่ใช้วิธีการสมัครเข้าเป็นทหารกองประจำการเลย เพราะรู้สึกว่าได้เลือกช่องทางที่โปร่งใสและชัดเจนที่สุดเมื่อมาเกณฑ์ทหารแล้ว คิดว่าน่าจะได้สัมผัสมุมมองตรงนี้มากขึ้นว่าควรหรือไม่ควรที่จะมีระบบการเกณฑ์ทหารในอนาคต
เมื่อถามว่าหวังอะไรกับการเป็นทหารเกณฑ์ 6 เดือน นายพริษฐ์ กล่าวว่า หวังไว้หลายอย่าง ซึ่งอย่างแรกคือหวังว่าจะได้มีโอกาสรับใช้ชาติ โดยการนำศักยภาพที่ตนมีมาทำประโยชน์เพื่อกองทัพและประเทศอย่างแท้จริง เพราะหลายคนตั้งข้อสงสัยว่าเมื่อเรามาเป็นทหารเกณฑ์แล้วเรามาทำอะไร รวมถึงตนเรียนและทำงานที่ต่างประเทศมาหลายปี เป็นโอกาสดีที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนไทยที่มาจากหลายพื้นที่หลายจังหวัด คิดว่าจะทำให้มีประสบการณ์มากขึ้น
นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า หลังจากนี้อีก 6 เดือนจะมาเล่าประสบการณ์ให้ฟัง อย่างไรก็ตามตามหลักการการเกณฑ์ทหารไม่ว่าจะประเทศใดก็ตามไม่ควรมีการใช้ความรุนแรง และหวังว่าคนที่ทำเกินอำนาจนอกกฎหมายจะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย
“ผมไปตัดผมมาก่อนล่วงหน้าที่จะเดินทางมารายงานตัว โดยบอกช่างตัดผมว่าจะตัดอย่างไรก็ได้ที่ผมไปเป็นทหารเกณฑ์ได้”
เมื่อถามว่ามีการมองว่ามาเป็นทหารเพื่อแก้ข้อผิดพลาดในอดีตของน้า (นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ) นั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า ทำหน้าที่ตามกฎหมาย และเป็นหนึ่งในแสนคนที่เป็นทหารเกณฑ์ คิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการแก้ไขจุดบกพร่องอะไร ถ้าไม่ได้เป็นหลานนายอภิสิทธิ์ ก็คงมาเกณฑ์ทหารเหมือนกัน ดังนั้นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลย
ที่มา: มติชนออนไลน์