
ชัยธวัชอัดรัฐบาลเอาประเทศเป็นเดิมพัน ดันทุรังโครงการดิจิทัลวอลเลต เจ๊งไม่ว่าแต่เสียหน้าไม่ได้ ชี้งบประมาณมีคำพูดสวยหรู แต่ซ้ำซ้อน ซ้ำซาก
วันที่ 19 มิถุนายน 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร วาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายงบประมาณปี’68 โดยก่อนเข้าสู่เนื้อหาได้แสดงความห่วงใยไปยังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ฟื้นจากอาการป่วยโควิด-19 โดยเร็ว
ทั้งนี้ นายชัยธวัชสรุปภาพรวมงบประมาณว่า ตัวเลขงบประมาณ 2568 ได้กำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายสูงมากเป็นประวัติการณ์ 3,752,700 ล้านบาท โดยเงินที่มาใช้จ่ายคือ มาจากรายได้ของรัฐบาล และรายได้จากเงินกู้ ซึ่งเป็นการจัดงบประมาณขาดดุลแบบต่อเนื่องมาหลายปี
การประมาณการรายได้ของรัฐบาลจะมีรายได้สุทธิ 2,887,000 ล้านบาท ที่เหลือรายจ่ายมาจากเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 865,700 ล้านบาท ถือเป็นการวางวงเงินกู้ไว้เกือบชนเพดาน เท่าที่กู้ได้สูงสุดไม่เกิน 870,620 ล้านบาท เหลือพื้นที่กู้ได้อีก 5,000 ล้านบาทเท่านั้น
เมื่อเทียบกับงบประมาณ 2567 งบประมาณปีนี้ได้รับการจัดสรรเพิ่มขึ้นถึง 272,700 ล้านบาท ถือเป็นการเพิ่มงบประมาณในสัดส่วนที่สูงที่สุดรอบ 10 ปี ปัญหาคือ เมื่อดูรายละเอียดยิ่งผิดหวังกว่าการจัดงบฯปี’67 แทบจะเหมือนเดิม มีปัญหาแบบเดิม ๆ เพิ่มเติมคือมีดิจิทัลวอลเลต
“ปัญหาแบบเดิม ๆ คือมีการจัดสรรงบประมาณที่มียุทธศาสตร์เต็มไปหมด ดูเหมือนมียุทธศาสตร์แต่ไม่มียุทธศาสตร์ เพราะมีแต่คำพูดสวยหรู แต่ลงในรายละเอียดก็ซ้ำซ้อน ซ้ำซาก เบี้ยหัวแตก มองไม่เห็นนโยบายที่ชัดเจน จับต้องได้ จัดลำดับความสำคัญแบบมียุทธศาสตร์จริง ๆ ตัวชี้วัดในการใช้งบประมาณก็เหมือนเดิม เป็นการใช้งบประมาณโดยไม่สนใจผลลัพธ์ทางปฏิบัติจริง ๆ” นายชัยธวัชกล่าว
นายชัยธวัชกล่าวว่า ในงบประมาณก่อนหน้านี้ รัฐบาลใหม่มาปรับแก้กลางทางอย่างน้อยมีโครงการใหม่ ๆ 236 โครงการ แต่มาถึงงบประมาณ 68 รัฐบาลใหม่มีอำนาจเต็มในการจัดสรร มีโครงการใหม่เพียง 163 โครงการ แทบไม่มีอะไรใหม่ ยังไม่นับว่าเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่เยอะมาก
ส่วนรายจ่ายการลงทุน จำนวนมากเป็นรายจ่ายที่ไม่มีนัยยะสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจจริง ๆ แต่ยึดโยงกับเครือข่ายการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ ที่มีส่วนผลักดันให้รัฐบาลเข้าสู่อำนาจจำนวนมาก
แต่ที่สำคัญคือ รัฐบาลไม่มีวาระทางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนว่าจะทำอะไรกันแน่ แต่ละกระทรวงอยู่ในอาณาจักรของตนเอง ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างไร้ทิศทาง ผู้นำรัฐบาลก็ถนัด มีข้อสั่งการเยอะแยะ มีข่าวแทบทุกวัน แต่สงสัยว่าสั่งการไปแล้วมีแนวทางปฏิบัติให้หน่วยงานราชการจริง ๆ หรือไม่ ว่าต้องทำอย่างไร
“หากจะมีอะไรใหม่สำหรับวาระของงบประมาณ 68 คงมีเรื่องเดียวคือ ความพยายามที่จะผลักดันในระดับที่ดันทุรังโครงการดิจิทัลวอลเลต ทำให้ได้สำเร็จ เจ๊งไม่ว่าแต่เสียหน้าไม่ได้” นายชัยธวัชกล่าว
นายชัยธวัชกล่าวว่า สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเลต ปรากฏอยู่ในงบฯกลางเป็นรายการตั้งใหม่ ชื่อว่าค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวน 157,200 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 18.9% ของงบฯกลาง นอกจากนั้น เราคงทราบว่าเฉพาะที่กันไว้ก็ไม่เพียงพอ ที่เหลือจะใช้เงินกู้จาก ธ.ก.ส. และน่าจะมีของบฯกลางปีของงบฯปี 2567 เพิ่มอีก ถ้าหากไม่พอรัฐบาลก็อาจออก พ.ร.บ.โอนงบประมาณจากงบฯสำรองรายจ่ายฉุกเฉินหรือจำเป็นมาใส่เพิ่มอีกก็เป็นได้
แต่ผลของการพยายามจัดสรรมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเลต เสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทางการคลัง ทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาว ภาระการจ่ายหนี้สูงขึ้นแน่นอน และจะเสียพื้นที่การคลัง หากเราจำเป็นต้องมีงบประมาณใช้งบฯฉุกเฉิน หรือการลงทุนภาครัฐขนาดใหญ่ในอนาคตการคลังอันใกล้
นายชัยธวัชกล่าวว่า สาเหตุที่บอกว่าประเทศเจ๊งไม่ว่าแต่เสียหน้าไม่ได้ เพราะรัฐบาลนี้ประสบวิกฤตความชอบธรรมทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล พอเข้ามาบริหารประเทศจริง ๆ ก็ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นว่าจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนได้ดีขึ้น พรรคแกนนำรัฐบาลจึงเหลือความหวังเดียวคือ เชื่อว่าหากสามารถผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเลตได้ ความชอบธรรมทางการเมืองของรัฐบาลก็จะฟื้นกลับมา
ในสภาวะข้าวยากหมากแพง เศรษฐกิจของประชาชนฝืดเคือง ประชาชนจำนวนมากหวังว่าจะได้เงิน 10,000 มาจับจ่ายใช้สอย แต่ปัญหาคือในสถานการณ์ปัจจุบัน เราต้องการรัฐบาลที่มีเจตจำนงในการผลักดันนโยบายที่ดีที่สุด และตอบโจทย์ของประเทศจริง ๆ มากที่สุด ไม่ใช่ตอบโจทย์ทางการเมืองของรัฐบาล
หากสุดท้ายนโยบายดิจิทัลวอลเลตไม่ตอบโจทย์ของประเทศจริง ๆ การจัดสรรงบประมาณ 2568 ก็จะเป็นการจัดสรรงบประมาณที่ไม่ได้เอาโจทย์ของประเทศเป็นตัวตั้ง แต่เป็นการเอาโจทย์ของพรรคแกนนำรัฐบาลเป็นตัวตั้ง โดยรัฐบาลนี้กำลังมุ่งแก้ปัญหาวิกฤตทางการเมืองของตนเอง โดยเอาโอกาสและอนาคตของประเทศวางเป็นเดิมพัน อย่างที่ประเทศเจ๊งไม่ว่าแต่ต้องรักษาหน้าพรรคแกนนำให้ได้ เป็นประเด็นต้องพิจารณา
นโยบายดิจิทัลวอลเลตเป็นนโยบายฉาบฉวย เพื่อหาเสียงเฉพาะหน้า ไม่คิดให้เสร็จตั้งแต่ต้น เราจึงเห็นการดำเนินนโยบายเรือธงนี้แบบคิดไปทำไป แบบกลับไปกลับมา จนถึงเวลานี้ยังไม่ชัดเจนแน่นอน แต่พรรคแกนนำรัฐบาลก็โหมโฆษณาตลอดว่า โครงการดิจิทัลวอลเลตเป็นการกระจายเม็ดเงินลงพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้นการบริโภค แล้วจะเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจ หวังว่าการกระตุ้นบริโภคโดยเม็ดเงินมหาศาลในระยะสั้น จะไปทำให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจ จนไปกระตุ้นการลงทุนและการจ้างงาน
ปัญหาคือการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบนี้อาจใช้ได้กับประเทศไทยเมื่อ 20 ปีก่อน เพราะเมื่อพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน การกระตุ้นเศรษฐกิจแบบนี้ไม่สอดคล้องกับความจริงประเทศไทยใน พ.ศ.นี้แล้ว สถานการณ์วันนี้กระตุ้นบริโภคการอัดเงินไปในระยะสั้น ง่าย ๆ อีกแล้ว เพราะเราจะเจอปัญหาช่องทางเงินไหลออก เปรียบเสมือนหลุมดำ 2 หลุม คอยดูดเม็ดเงินออกจากเศรษฐกิจประเทศ ซึ่งต่างจาก 20 ปีที่แล้ว
หลุมดำแรกคือ หลุมดำสินค้าประเทศจีน ที่เกิดสภาวะสินค้าล้นตลาดในแทบทุกรายการ เราขาดดุลประเทศจีนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 1.3 ล้านล้านบาท หลุมดำที่สองคือ อีคอมเมิร์ซ ส่วนแบ่งตลาดกลายเป็นสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้น การอัดฉีดเงินเพื่อการบริโภคโดยไม่สร้างเงื่อนไข หรือ แจงจูงใจอย่างเป็นระบบ เงินก็จะรั่วไหลไปสู่สินค้านำเข้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่คือสภาพความเป็นจริงของเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนไปเยอะ อาจใช้ไม่ได้ใน พ.ศ.นี้อีกแล้ว
นายชัยธวัชกล่าวว่า ประเทศไทยต้องการโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจแบบใหม่และการจัดสรรงบประมาณแบบใหม่ เรายังมีโจทย์ของประเทศอีกมาก ซึ่งดูจะไม่ใช่โจทย์ของรัฐบาลในการจัดสรรงบประมาณ เช่น โจทย์การศึกษาและการเรียนรู้ ซึ่งเราต้องการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ยกเครื่องกระบวนการและคุณภาพการศึกษา
อย่างจริงจัง รวมถึงการลงทุนเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ของเยาวชนและคนวัยทำงานให้ทันโลก การจัดสรรงบประมาณที่รัฐบาลทำอยู่ก็ไม่ตอบโจทย์ โจทย์สังคมสูงวัย เราต้องการเพิ่มอัตราการเกิดอย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาจำนวนประชากรลดลงอย่างรุนแรง
ซึ่งจะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่การลงทุนกับสวัสดิการสำหรับแม่และเด็กที่เพียงพอก็ยังไม่ใช่วาระเร่งด่วนในงบประมาณของรัฐบาล โจทย์ของชนบทไทยที่ต้องการใส่งบประมาณจากรัฐเพื่อสนับสนุนสิทธิในที่ดินที่มั่นคงของชาวบ้าน หรือการพัฒนาแหล่งน้ำ ก็ไม่เห็นคำตอบจากงบประมาณของรัฐบาล
นายชัยธวัชกล่าวสรุปว่า การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี’68 สะท้อนให้เห็นว่า โจทย์ของรัฐบาลไม่ใช่โจทย์ของประเทศ การจัดสรรงบประมาณครั้งนี้จึงเป็นการจัดงบฯที่มักง่ายที่สุด สุ่มเสี่ยงที่สุด เพราะรัฐบาลกำลังเอาทรัพยากรของประเทศไปมุ่งแก้ปัญหาวิกฤตการเมืองเฉพาะหน้าของตัวเอง โดยเอาโอกาสของคนไทยทุกคนและอนาคตของประเทศมาวางเดิมพันอย่างไม่รับผิดชอบ วิสัยทัศน์ Ignite Thailand เป็น Ignore Thailand เจ๊งไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้ และเป็นเหตุผลที่ผมไม่เห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.งบฯ 68