จุลพันธ์ ยัน แจกเงิน 10,000 ไม่ได้คิดไปทำไป รับกู้มากขึ้นแต่ชั่วคราว

จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์

จุลพันธ์ พ้อ รัฐบาลเศรษฐา รับมรดกหนี้ครัวเรือนจากรัฐบาลเก่า ยืนยัน โครงการดิจิทัลวอลเลตไม่ใช่คิดไปทำไป แต่เป็นการคิดนอกกรอบ ยอมรับกู้มากขึ้น แต่แค่ชั่วคราวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้าน เผ่าภูมิ บอก ฝ่ายค้าน กุ 7 เรื่อง ไม่ได้เสพติดการกู้ขาดดุล ด้าน พิชัย รมว.คลัง รับปากประชาชนจะแก้ปัญหาทั้งปากท้องประชาชน และปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ 

วันที่ 19 มิถุนายน 2567 ที่รัฐสภา นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ชี้แจงต่อที่ประชุมสภา วาระพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ถึงโครงการดิจิทัลวอลเลตว่า ตามที่รับฟังพบว่าวาทกรรมที่ว่า เจ๊งไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้ เป็นวาทกรรมที่หนักไป ข้อวิจารณ์โครงการดังกล่าวเป็นเรื่องมุมมองที่แตกต่างกัน โดยรัฐบาลมองว่าการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจควรทำก่อน เพื่อให้คนไทยมีกำลังต่อยอด ทั้งการบริโภค การลงทุนในอาชีพ สร้างสภาพคล่อง

รัฐบาลไม่ใช่คิดไปทำไป แต่ยอมรับความจริงว่าเรารับมรดกมาจากรัฐบาลก่อนหน้า ที่มีภาวะเศรษฐกิจหนี้ครัวเรือนสูงถึง 90% ทั้งหมดนี้มาถึงมือเรา การบริหารจัดการต้องทำให้เดินหน้าต่อไป หากบอกว่าเราคิดไปทำไป จะแย้งกับเรื่องเสียหน้าไม่ได้

“ผมเป็นคนทำโครงการนี้ตั้งแต่ต้น การปรับเปลี่ยนแต่ละครั้งผมโดนเขาว่านะครับ ทั้งเรื่องเกณฑ์การลดจำนวนคนเหลือ 50 ล้านคน ตัดเกณฑ์รายได้สูง ออมสูงออก เปลี่ยนแปลงตามข้อเสนอจากหน่วยงาน ซึ่งเราต้องรับฟัง บางอย่างเราต้องถอยเพื่อเดินหน้าอย่างแข็งแกร่ง เราเข้าใจในข้อจำกัดสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจะต้องมีการบริหารจัดการให้เหมาะสมที่สุด เพื่อที่จะเดินหน้าโครงการแต่ละโครงการ โดยใช้เม็ดเงินอย่างประหยัด คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด จึงไม่ใช่การไม่รอบคอบ แต่เป็นการคิดนอกกรอบ“ นายจุลพันธ์กล่าว

นายจุลพันธ์กล่าวว่า โครงการนี้วางรากฐานและวางระบบการเงิน เช่น การโอนถ่ายเงินกลางของรัฐให้ประชาชน ผ่านแอปพลิเคชั่นกลางให้บริการประชาชน เป็นโครงการกระตุ้นให้คน 50 ล้านคนลงทะเบียนผ่านมาตรฐานของรัฐ เพื่อให้มีบัตรประจำตัวดิจิทัล เพื่อใช้ทำธุรกรรมของรัฐได้ทุกประเภท

นี่คือประโยชน์ของประชาชนและประโยชน์ของรัฐอย่างมหาศาล ประชาชนไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปยังหน่วยงานของรัฐ และระบบนี้สามารถให้บริการประชาชน 24 ชั่วโมง ไม่ว่าพี่น้องประชาชนจะมีความต้องการเข้าถึงบริการของรัฐเวลาใด

ADVERTISMENT

นายจุลพันธ์อภิปรายอีกว่า ยอมรับว่าปีนี้กู้เงินเพิ่มขึ้น แต่เป็นการกู้ชั่วคราวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านดิจิทัลวอลเลต มีการตั้งข้อสังเกตว่าหากขาดดุลเต็มเพดาน เมื่อมีวิกฤตจะไม่สามารถปรับตัวรองรับได้ ถือว่าเข้าใจคลาดเคลื่อน ตามข้อเท็จจริง มีกลไกตาม พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการภาครัฐ ที่จะสามารถรองรับ ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตในลักษณะใดก็ได้ เรายังสามารถเดินหน้าได้

อย่างไรก็ตาม ที่ระบุว่ามีเม็ดเงิน 1.6 แสนล้านบาท ที่ถูกตัดลด ข้อเท็จจริงไม่มี ในข้อเท็จจริงมีคำขอเข้ามาถึง 6.5 ล้านล้านบาท แต่ด้วยการบริหารจัดการภาครัฐ สำนักงบประมาณเรียงลำดับความสำคัญ ยืนยันเป็นการจัดสรรงบตามปกติ ไม่มีหน่วยงานเบียดบังจากโครงการเติมเงินหมื่นบาท ทั้งนี้ โครงการนี้ยอมขาดดุลเพิ่มเติม เพื่อสร้างเม็ดเงินใหม่ ให้เศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นกลไกที่ยืนยันว่าเม็ดเงินมีประสิทธิภาพ หมุนเวียนเศรษฐกิจหลายรอบ เพื่อให้เกิดประโชน์กับประชาชนมากที่สุด

ADVERTISMENT

จากนั้น นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ชี้แจงว่า มีความจริงที่ฝ่ายค้านพูดไม่หมด 7 เรื่องคือ 1.การบอกว่ารัฐบาลมีวิสัยทัศน์สั้น ซึ่งไม่เป็นความจริง ต้องยอมรับเศรษฐกิจประเทศมีปัญหา ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.หนี้สาธารณะประเทศ 60 กว่า % มีปัญหา แต่ความจริง 10 กว่า % เป็นหนี้สาธารณะที่ไม่เป็นภาระต่อรัฐบาล

3.การเสพติดการขาดดุลงบประมาณ แม้ปีนี้จะขาดดุลงบประมาณสูง แต่การขาดดุลจะลดลงในปีต่อ ๆ ไป ไม่ใช่การเสพติด ถ้าเสพติดจะเพิ่มขึ้นทุกปี 4.รัฐบาลสร้างหนี้แต่ชำระเงินต้นน้อย ความจริงงบฯปี 2568 ชำระหนี้เงินต้น 1.5 แสนล้านบาท ถือว่าชนเพดาน ไม่สามารถชำระเงินต้นได้สูงกว่านี้อีกแล้ว 5.ภาระดอกเบี้ยที่รัฐบาลชำระน้อย งบฯรายจ่ายปี 2568 ตั้งงบฯชำระดอกเบี้ย 2.6 แสนล้านบาท เพื่มขึ้นจากปีก่อน 3 หมื่นล้าน

6.รัฐบาลตั้งตัวเลขจีดีพีสูงเกินจริง ซึ่งไม่เป็นความจริง 7.ดิจิทัลวอลเลตเป็นพายุหมุนไปสู่หลุมดำ เพราะมีสินค้าจากจีนเข้ามาดูดพายุหมุน แต่โครงการดิจิทัลวอลเลตให้ใช้จ่ายแบบ Face to Face ไม่สามารถใช้จ่ายผ่านทางออนไลน์ได้ ขอให้ไปศึกษาข้อมูลมาให้ดี

นายพิชัย ชุณหวชิระ รมว.คลัง ชี้แจงต่อว่า แม้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จะจัดงบฯแบบขาดดุล แต่ยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังที่เข้มแข็ง ขณะนี้กำลังซื้อภาคครัวเรือนมีปัญหา โดยเฉพาะยอดซื้อรถยนต์นั่ง รถจักรยานยนต์ รถบรรทุกที่เป็นเครื่องมือทำมาหากิน มีกำลังซื้อลดลง เพราะภาคครัวเรือนไม่มีกำลังจัดซื้อ

ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรม การเกษตรก็หดตัวลง เป็นปัญหาที่สะสมมายาวนาน หนี้ภาคครัวเรือนสูงกว่า 90 กว่า % ส่วนใหญ่เป็นหนี้จากที่อยู่อาศัย ยานพาหนะ ส่อแนวโน้มเป็นเอ็นพีแอล เมื่อภาคครัวเรือน ภาคอุตสาหกรรมมีปัญหา รัฐบาลก็ต้องเข้าไปช่วยเหลือในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายพิชัยกล่าวอีกว่า ขณะนี้การผลิตภาคอุตสาหกรรม เริ่มมีสัญญาณทางบวกด้านการส่งออก เป็นผลจากการอัดฉีดงบฯเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้มากขึ้น ดังนั้นจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งโครงการดิจิทัลวอลเลตที่เป็นการเติมเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จะช่วยในเรื่องการกระตุ้นให้เกิดกำลังซื้อในการบริโภค และกำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรม ถือเป็นการกระตุ้นในจังหวะที่เหมาะสม

รัฐบาลวิเคราะห์เศรษฐกิจทุกมิติ พร้อมแก้ปัญหาระยะสั้นเรื่องปากท้องและระยะยาวเรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจ จะใช้งบประมาณให้สอดคล้องกับนโยบายการเงินการคลัง พาประเทศไปสู่การเติบโตที่สูงชึ้นกว่าในอดีต และสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ควบคู่ไปกับการรักษาความยั่งยืนทางการคลังอย่างเคร่งครัด ทั้งการเพิ่มรายได้ เร่งรัดการเบิกจ่าย ลดขนาดการขาดดุลการคลัง และดูแลหนี้สาธารณะให้อยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลัง