
เศรษฐาตอบกระทู้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก้าวไกล ยืนยันยังกระตุ้นต่อเนื่อง สู้แรงค้านไร้อนาคต ด้าน “ศิริกัญญา” ถามเกิดอะไรขึ้นกับ ”ดิจิทัลวอลเลต” กันแน่ เปลี่ยนไปมา เก็บงบฯกลางไว้ทำโครงการจนไม่กล้าทำอย่างอื่น จวกนายกฯวินิจฉัยโรคถูกหมด แต่ยังมืดแปดด้าน เพราะไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม
วันที่ 11 กรกฎาคม 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภา ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจาของ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ถามนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกฯ มาตอบกระทู้ด้วยตัวเอง เรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม
ขอบคุณนายกฯ ตอบกระทู้
โดยก่อนถามกระทู้ น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า ต้องขอบคุณนายกฯที่ยังอุตส่าห์เห็นคุณค่าของสภาผู้แทนราษฎร ยังคงยึดถือหลักการตรวจสอบถ่วงดุลจากฝ่ายนิติบัญญัติ และยังเคารพต่อหลักการว่ารัฐสภาเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุด ท่านได้ตอบรับมาตอบกระทู้เวลา 07.30 น. ตนก็ขอแสดงความขอบคุณ
ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ท่านมาตอบกระทู้สดของพรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุด แต่นี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะในสัปดาห์หน้าขอให้ท่านเคลียร์ตารางไว้ได้เลย เพราะเราได้เตรียมข้อมูลที่จะถามนายกฯเอาไว้แล้ว หรือถ้าสัปดาห์หน้าท่านเคลียร์ตารางไม่ทัน แต่ท่านว่างวันพฤหัสฯไหนแจ้งเรามาได้เลย เราพร้อมที่จะอำนวยความสะดวก
บริหารจัดการแจกเงินอย่างไร
จากนั้น น.ส.ศิริกัญญาถามคำถามแรกว่า เกี่ยวกับคำแถลงของ รมช.คลัง เกี่ยวกับดิจิทัลวอลเลต ที่ต้องถามเพราะมีประชาชนสอบถามมากมาย ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับโครงการดิจิทัลวอลเลต ซึ่งในเนื้อหาที่ รมช.คลังแถลงมีการปรับแก้เงื่อนไข และมีเงื่อนไขเพิ่มเติมออกมามากมาย เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา
จากเดิมบอกว่าใช้ซื้อโทรศัพท์มือถือได้ แต่วันนี้บอกซื้อไม่ได้ วันก่อนบอกซื้อปุ๋ยไม่ได้ วันนี้บอกว่าซื้อได้แล้ว และมีเงื่อนไขประหลาดเกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ก็บอกว่าจะใช้ซื้อไม่ได้ ทั้งที่คนไทยผลิตเองจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น พัดลม แต่ที่สำคัญที่สุดประชาชนกังวลคือการปรับลดเป้าหมายเหลือ 45 ล้านคน
โดยอ้างว่าจะมีคนที่มีสิทธิแต่ไม่มาลงทะเบียนประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ จึงทำให้ลดลง จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ 50 ล้านคน เหลือ 45 ล้านคน และอาจจะไม่ยืมเงินธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แล้ว เท่ากับว่ามีเงินที่จะแจกเพียงแต่ 4.5 แสนล้านบาท
“คำถามคือตอนนี้งบประมาณมีไม่พอแล้วหรือว่าอย่างไร ทำให้หามาได้เพียงแต่ 4.5 แสนล้านบาท ซึ่งงบฯปี’67 จากที่เคยจะใช้ประมาณ 1.7 แสนล้านบาท ตอนนี้เหลือเพียงแค่ 1.65 แสนล้านบาท ที่เหลือจะใช้ของงบฯปี’68 จำนวน 2.85 แสนล้านบาท คำถามที่ประชาชนสงสัยคือ แล้วอย่างนี้ถ้าสุดท้ายคนมาลงทะเบียนเต็ม 50 ล้านคนจะทำอย่างไรเขายังจะได้รับสิทธิอยู่หรือไม่ และถ้ามีมาครบ 50 ล้านคนจริง ๆ อีก 5 หมื่นล้านบาท จะเอาเงินที่ไหนมาใช้ หรือจะใช้เงินคงคลัง”
น.ส.ศิริกัญญาถามต่อว่า จริงเรื่องของรายละเอียดพวกนี้ คิดว่าถามไปก็เท่านั้น ท่านก็คงจะตอบว่าเดี๋ยวรอความชัดเจนก่อน เดี๋ยวรอแถลงวันจันทร์ เดี๋ยวรอแถลงวันที่ 24 กรกฎาคม อย่างเป็นทางการ ท่านก็อาจจะยังไม่ตอบ หรือว่าถ้าตอบอะไรได้ตอนนี้ก็ขอให้ตอบ
แต่สิ่งที่ท่านน่าจะทราบและดิฉันก็เป็นกังวล คือเรื่องของการที่บอกว่าจะต้องใช้งบฯ 67 จากการบริหารจัดการ 4.3 หมื่นล้านบาท บริหารจัดการงบฯ 68 อีก 1.32 แสนล้านบาท มันคืออะไร คำถามคือตกลงจะมีการใช้งบฯกลางของปี’67 หรือไม่ หรือจะไปบริหารจัดการอย่างไร จะมีการใช้เงินทุนสำรองจ่ายที่อยู่ในอำนาจของ รมว.คลังหรือไม่
แจกเงิน 10,000 ชัดเจน 24 ก.ค.
นายเศรษฐาตอบคำถามยืนยันว่าให้ความสำคัญกับสภา ไม่ได้มีความประสงค์ที่จะหลีกหนีอะไร แต่มีภารกิจแน่นเหลือเกิน ที่เมื่อช่วงเช้าเพิ่งแจ้งมาเพราะพยายามจะเลื่อนประชุมเพื่อจะตอบสนองความต้องการของ สส. เมื่อวานนี้ก็ลงพื้นที่ทั้งวัน แต่เห็นว่าน้อยใจจะไม่ถาม ตนจึงพยายามที่จะมาตอบให้ได้ แน่นอนว่าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย หากมาตอบได้ก็จะพยายามมาตอบอย่างต่อเนื่อง
คำถามที่ถามเกี่ยวกับดิจิทัลวอลเลตนั้นจะมีการแถลงวันที่ 24 กรกฎาคมนี้ ทั้งหมดนี้ที่ยังมีการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะเรื่องประเภทสินค้านั้นเป็นตัวบ่งบอกว่ารัฐบาลฟังความคิดเห็นของประชาชน อะไรจะซื้อได้ ซื้อไม่ได้ ก่อนที่โครงการจะออกมา ก็เป็นเรื่องที่เราต้องรับฟังทุกภาค ไม่ว่าจะเป็นประชาชน ผู้ประกอบการ หรือฝ่ายค้านก็ตาม ว่าอะไรเหมาะสม อะไรไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญและพูดคุยกันตลอด เพื่อจะได้ปรับปรุงให้โดนใจประชาชนและถูกวัตถุประสงค์หลักของการออกโครงการนี้มา คือการกระตุ้นเศรษฐกิจ
กันงบฯกลาง 4.3 หมื่นล้าน
ส่วนเรื่องงบประมาณต่าง ๆ เรามีการกันงบฯกลางไว้ประมาณ 4.3 หมื่นล้านบาท ที่บอก 4.5 แสนล้านบาท ลงมาจาก 5 แสนล้าน เราดูจากสถิติเก่าที่รัฐบาลเก่ามีการแจกเงิน และดูว่าคนที่ไม่เข้าสิทธิมีกี่คน แต่ก็พยายามเตรียมงบประมาณให้เต็มที่ มั่นใจว่าจะวิเคราะห์ให้ดีว่าต้องตรงจุด เป็นไปตามกฎหมาย ซื่อสัตย์สุจริต เป็นไปตามกฎกติกาในการใช้งบประมาณที่ถูกต้อง
ย้ำว่าเรื่องดิจิทัลวอลเลตเป็นนโยบายหลักของเรา เหตุผลที่เราต้องใช้เงินหมื่นบาทต่อคนและจำกัดพื้นที่การใช้ เพราะเราไม่ต้องการให้การใช้อยู่ที่หัวเมืองหลักอย่างเดียว การที่ประชาชนที่มีบัตรประชาชนอยู่ในพื้นที่ไหน อำเภออะไรก็ให้ใช้ที่นั่น เพื่อที่เงินที่เราให้ใช้ในอำเภอนั้นจะไปกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดนั้น เพราะบางจังหวัดยังมีจีดีพีต่ำ และบางจังหวัดที่มีการพัฒนาต่ำ เช่น จังหวัดหนองบัวลำภู จังหวัดมหาสารคามเพื่อพัฒนาเศษฐกิจภูมิภาค
“มั่นใจอีกครั้งว่าวันที่ 24 กรกฎาคมจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในแง่ของงบประมาณ ประเภทสินค้าที่จะออกมา” นายเศรษฐากล่าว
โต้กลับ เก็บงบฯกลางไว้แจก
น.ส.ศิริกัญญาถามข้อที่สองว่า เมื่อนายกฯตอบว่า เพราะต้องใช้งบฯกลาง 4.3 หมื่นล้านบาท เพื่อที่จะทำดิจิทัลวอลเลต ก็จะทำให้ปริศนาทุกอย่างกระจ่างขึ้น เพราะที่ผ่านมาที่นายกฯเริ่มบริหารราชการแผ่นดินมากว่า 10 เดือนแล้ว เราก็มีข้อสังเกตว่าในงบฯกลางของปี’67 แทบจะไม่ได้อนุมัติเลย
ทั้งที่ประชาชนมีปัญหาหลายเรื่องที่ต้องรอการแก้ไข แต่กลับไม่มีอะไรออกมาเลยในช่วงระยะนี้ เป็นเพราะว่าท่านต้องเก็บเงินก้อนนี้ไปใช้เพื่อดิจิทัลวอลเลตนั่นเอง ซึ่งประชาชนก็ยังจะต้องรอต่อไปจนถึงไตรมาส 4 ซึ่งไม่รู้ว่าเดือน ต.ค., พ.ค. หรือ ธ.ค. กันแน่ที่เราจะได้รับเงินตรงนี้ หรือว่าหลังจากนั้นก็เป็นไปได้
ที่ต้องถามงบฯกลางของปี’67 เพราะที่ผ่านมาสภาอนุมัติงบฯไปแล้ว และก่อนที่สภาจะอนุมัติก็มีการใช้งบฯไปพลางก่อน แต่กลับมีการอนุมัติจาก ครม.เพียงแค่ 1.4 หมื่นล้านบาทเศษเท่านั้น ที่ต้องกังวลเพราะมีปัญหาที่เร่งด่วนกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจ คือปัญหาค่าครองชีพของประชาชน เงินเฟ้อจะลงจะขึ้นอย่างไรประชาชนอาจจะไม่ได้สนใจ แต่สิ่งที่ประชาชนสนใจและกังวลเพราะว่าเวลาที่ราคาข้าวของแพงขึ้น ราคาไม่ได้ลดลงตามเงินเฟ้อ
ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันโซฮอล์ 95 เมื่อ 5 ปีก่อนเราจ่ายลิตรละไม่ถึง 30 บาท แต่ทุกวันนี้ลิตรละเกือบจะ 40 บาทแล้ว ราคาไข่ไก่จากเคยฟองละ 4 บาท เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตอนนี้ขึ้นมาเป็น 5 บาท และไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ราคาไก่ ไก่สดเป็นตัวจาก 5 ปีที่แล้วเคยอยู่ที่ตัวละ 200 บาท ตอนนี้ขึ้นมาเป็น 230 บาท หมูก็มีราคาที่สูงขึ้น ดังนั้น ค่าไฟก็ยังแพงเหมือนเดิม ถึงแม้ตอนนี้เราจะมีการปรับโครงสร้างแล้วก็ยังต้องเอาเงินส่วนหนึ่งไปใช้หนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ (กฟผ.) อยู่ดี ถึงแม้จะมีการอนุมัติงบฯกลาง 1.9 พันล้านบาท
น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า นอกจากรัฐบาลไม่มีมาตรการอะไรที่จะมาช่วยเหลือค่าครองชีพให้ประชาชน ปัญหาอื่นก็ยังตามมา ถึงแม้นายกฯจะเลิกพูดแล้วว่าเศรษฐกิจไทยวิกฤต แต่ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีการพูดถึงเรื่องปัญหาที่มีโรงงานปิดกิจการเป็นจำนวนมาก และมีเอสเอ็มอีทยอยล้มหายตายจากกันไประลอกใหญ่ ซึ่งข้อมูลการปิดโรงงานมีมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วคราบเกี่ยวกับที่นายกฯเข้ามาบริหารประเทศ
ซึ่งถ้ารวมตั้งแต่ปี’66 ถึงไตรมาสสองของปี’67 มีโรงงานปิดตัวไปแล้วเกือบ 2 พันแห่ง กระทบกับการจ้างงานเกือบ 5 หมื่นตำแหน่ง ถ้านับเฉพาะที่นายกฯเข้ามารับตำแหน่งปิดไปแล้ว 1,217 โรง และเป็นโรงงานขนาดใหญ่ แต่มีการเปิดโรงงานเพียงแค่ 1,264 โรง ซึ่งกลายเป็นโรงงานขนาดเล็ก คำถามคือมีการของบฯกลางไปช่วยพยุงราคาน้ำมัน 6.5 พันล้านบาท แต่ท่านกลับไม่อนุมัติ
ทั้ง ๆ ที่งบฯกลางก็ไม่ได้ใช้ เพราะจะเก็บไว้ใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเลตปลายปีนี้ ถ้าไม่อยากอุดหนุนราคาน้ำมันด้วยการลดภาษีสรรพสามิตรแบบเดิม ก็อาจจะเลือกหนุนเฉพาะกลุ่มก็ได้ เช่น ภาคขนส่ง โดยสารสาธารณะ โดยแจกคูปองให้มีน้ำมันที่ราคาถูกลง หรือแจกคูปองลิตรละ 5 บาทให้ประชาชน อาจจะมีมาตรการช่ายเหลืออยู่บ้างก็ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่คนเดือดร้อน จึงอยากทราบว่านายกฯมีแนวโน้มที่จะมีมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน หรือแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างไร โดยที่ไม่ต้องรอดิจิทัลวอลเลต
นายกฯชี้คราวหน้าจะเอามาให้ดู
ด้านนายเศรษฐาชี้แจงว่า เราใช้งบฯกลางในการดูแลเรื่องค่าน้ำมัน ค่าไฟ ด้านการเกษตร สถานพยาบาลต่าง ๆ ส่วนเรื่องที่ยังไม่มีความกระจ่างในเรื่องงบฯกลางนั้น คราวหน้ามาแถลงอีกครั้งแล้วจะเอารายละเอียดมาให้ดู ว่าเราใช้งบฯกลางทำอะไรบ้าง เพื่อบรรเทาความทุกข์ยากของประชาชน ส่วนเรื่องเศรษฐกิจโดยรวมที่บอกว่ามีการปิดโรงงานและไม่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น
เราเห็นต่างกันเยอะในเรื่องของวิกฤตหรือไม่วิกฤต ต้องกระตุ้นหรือเปลี่ยนโครงสร้างหรือไม่ ท่านทราบดีอยู่แล้วว่า 10 ปีที่ผ่านมาจีดีพีโตต่ำต้อยเหลือเกิน ไม่มีการทำโครงการใหญ่ ๆ เลย การเจริญเติบโตส่วนใหญ่เป็นในรูปแบบพีระมิด คือช่วงบนโตขึ้น คนที่รวยแล้วก็รวยอีก รวยไปเรื่อย ๆ ขณะที่คนจนก็ต่ำต้อยไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงหลังโควิด การลงทุนก็อยู่แค่ 1% ส่งออกก็ติดลบ
ดึงอุตสาหกรรมใหม่ให้เศรษฐกิจโต
ขณะที่เรื่องการปิดตัวของโรงงานนั้น ชัดเจนว่าอุตสาหกรรมต้องปรับตัวเข้ากับความต้องการของโลกสมัยใหม่ ซึ่ง 10 ปีที่ผ่านมาเรามีการปรับตัวที่ช้ามาก จึงเป็นที่มาของการที่ตนต้องเดินทางต่างประเทศ ต้องมีการเจรจากับบริษัทใหญ่ต่าง ๆ เพื่อจะเข้ามาสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ในการรองรับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ สร้างกำไรให้ประชาชนทุกคนทำให้เศรษฐกิจโตขึ้น
หรือแม้กระทั่งการเดินทางไปประเทศจีนเพื่อนำรถอีวีเข้ามา ซึ่งปัจจุบันก็มีบริษัทเข้ามาลงทุนเยอะ แม้จะมีการสะดุด ยอดขายตกไปบ้าง แต่เราก็ยังเดินหน้าต่อ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของไฮบริดที่เราต้องดูแลคู่ค้าที่มาจากประเทศญี่ปุ่นเพื่อทำให้ซัพพลายเชนแข็งแกร่ง
นายเศรษฐากล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องจีโอโพลิกติกส์เป็นเรื่องสำคัญ แม้ประเทศไทยจะมีจุดยืนเป็นกลาง ไม่ทะเลาะกับใคร และพร้อมจะเป็นคู่ค้ากับทุกคน ก็ทำให้เรามีการส่งออกได้น้อยลง นี่จึงเป็นเรื่องที่เราต้องมีจุดยืนด้านการต่างประเทศที่ชัดเจน และเดินทางไปพูดคุยกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกตลอดเวลา เพื่อทำให้เขามีความมั่นใจที่จะมาลงทุนและซื้อสินค้าไทย
สำหรับเรื่องบริโภคในประเทศ หากตัดเรื่องภาคท่องเที่ยวออกไปก็ถือว่าไม่มีการเจริญเติบโตเท่าที่ควร และตั้งแต่เราเข้ามาเรื่องท่องเที่ยวที่ถือเป็นนโยบายหลักแม้ไม่ได้ใช้งบประมาณเป็นหลัก
แต่เราก็สามารถพยุงเศรษฐกิจได้ เช่น เรื่องวีซ่าฟรี ยืนยันว่ารัฐบาลพยายามจะทำ มีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาอย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตาม เพิ่งผ่าน 10 เดือนเท่านั้นเอง พวกท่านคงทราบดีว่าการจะลงทุนเป็นแสน ๆ ล้านนั้นต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าเขาจะตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย แต่ก็มีการพัฒนาไปในขั้นตอนต่าง ๆ ควบคู่ไปกับเรื่องของเอฟทีเอด้วย
วินิจฉัยโรคถูก แต่ไม่เป็นรูปธรรม
น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า การที่นายกฯไม่ได้ตอบคำถามของตน เท่ากับว่ายืนยันว่าจะไม่มีมาตรการที่จะพยุงค่าครองชีพให้ประชาชนในระยะสั้น รวมถึงจะไม่มีการที่จะไปแก้ปัญหาโรงงานปิดกิจการ เพราะจากที่นายกฯเล่ามาทั้งหมด แน่นอนว่าวิเคราะห์ปัญหาถูก วินิจฉัยโรคถูกหมด แต่ทางออกยังมืดแปดด้าน เพราะยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม ว่าตอนนี้โดยที่ไม่ต้องรอดิจิทัลวอลเลต เราก็จะปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไร
ตนเสนอว่าถ้ารัฐบาลสร้างแรงจูงใจให้ท้องถิ่นเอาเงินสะสมของตัวเองออกมาใช้ เป็นโครงการลงทุนขนาดเล็ก ในพื้นที่ ให้เกิดการจ้างงาน เศรษฐกิจชุมชนก็จะมีความกระชุ่มกระชวย มีเงินในกระเป๋าขึ้นมาบ้าง ซึ่งเงินนี้มีอยู่จริงไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท โดยรัฐบาลออกครึ่งหนึ่ง ท้องถิ่นออกครึ่งหนึ่ง เพื่อเอาไปใช้แก้ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ในพื้นที่รับรองว่าจะทำให้เศรษฐกิจฐานรากมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ โดยที่ไม่ต้องรอดิจิทัลวอลเลต
จริง ๆ แล้วมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ท่านทำ ไม่ว่าจะเป็นภาษีอีซี รีซีปต์ ลดหย่อนภาษีเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ลดภาษีไวน์ ออกมาตรการประกันสินเชื่อพีจีเอส 11 ซึ่งดูแล้วพุ่งเป้าไปที่กลุ่มคนรวยหรือชนชั้นกลางเป็นหลัก อาจจะมีกลุ่มเกษตรกรบ้าง เช่น ปุ๋ยคนละครึ่ง แต่ดันออกในช่วงเวลาที่เกษตรกรลงปุ๋ยนาไปหมดแล้ว ติดเงินเชื่อกับบริษัทขายปุ๋ยไปเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้จะมาคนละครึ่งตอนนี้ไปทำไม
ที่สำคัญเน้นไปที่ภาคอสังหาฯ กรณีการเพิ่มสัดส่วนต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ที่นายกฯเป็นต้นคิดและสั่งการกระทรวงมหาดไทยให้เร่งรัดดำเนินการ ซึ่งมาตรการนี้มีผลกระทบในเชิงลบค่อนข้างมาก ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้น ประชาชนที่ไม่มีบ้านได้รับผลกระทบ เพราะไม่มีเงินที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นของต่างชาติ และอาจจะต้องไปเช่าบ้านของต่างชาติด้วย แล้วสุดท้ายคนไทยได้อะไรจากมาตรการนี้ สัดส่วนที่เกิดผลต่อเศรษฐกิจคืออะไร
นายกฯจวกแรงค้านไร้อนาคต
นายเศรษฐาชี้แจงว่า เรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจเรายังทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องใช้งบประมาณก็ได้ เช่น เรื่องของผลผลิต การดูแลพื้นที่ชายแดนใต้ที่มีการดูแลควบคุมไม่ให้มีสินค้าเถื่อนเข้ามา ส่วนเรื่องให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปีนั้น เราก็ให้มีการศึกษาเรื่องนี้เกิดขึ้น เพราะเป็นการเชื่อมกันหลายอย่าง ซึ่งต่างชาติก็อยากให้มีการพิจารณาเพิ่มระยะเวลาลีสโฮลด์จาก 30 ปี เป็น 99 ปี
และไม่ใช่เรื่องของการขายชาติ แต่เป็นเรื่องการศึกษาว่าเหมาะสมหรือไม่ที่จะทำ หากทำแล้วจะส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในไทยสูงขึ้นหรือไม่ ยืนยันว่าจะต้องมีการศึกษาและทำให้ซื่อสัตย์สุจริต ไม่ให้มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่มีการกดดันใคร
”ยืนยันว่ารัฐบาลนี้ภายใต้การนำของผม เราจะวิ่งสู้เพื่ออนาคตและพรรคร่วมทุกพรรคที่อยู่ในรัฐบาลจะช่วยกันวิ่งสู้ต่อไปเพื่อปัจจุบันที่ดีกว่า และจะต้องสู้กับแรงค้านที่ไร้อนาคต“ นายเศรษฐากล่าว