
คอลัมน์ : Politics policy people forum
นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10000 บาท ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ ในวันประกาศนโยบาย เมื่อ 5 เมษายน 2566 เป็นนโยบายเรือธง ตั้งแต่เลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566
วันนี้ เรือธง…ใกล้ถึงฝั่ง เมื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ประกาศด้วยตัวเองหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ครั้งที่ 4/2567 เมื่อ 15 กรกฎาคม 2567 ว่า…
“ดิจิทัลวอลเลตพร้อม เปิดลงทะเบียน 1 ส.ค.นี้ครับ”
“โครงการดิจิทัลวอลเลต คือ โครงการใหญ่ของภาครัฐที่จะเติมเงินใส่กระเป๋าพี่น้องประชาชน ผู้ประกอบการ และระบบเศรษฐกิจในภาพรวม เพื่อความละเอียดรอบคอบทั้งทางกฎหมาย และทางเทคนิค โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของผู้ใช้งาน ทำให้ใช้เวลาดำเนินการมากหน่อย แต่พี่น้องไม่ต้องคอยเก้อแน่นอน”
เปิดปูมดิจิทัลวอลเลต
แต่กว่านโยบายดิจิทัลวอลเลตจะฝ่าพายุอันตรายมาถึงวันนี้ ย้อนไปดูนโยบายดิจิทัลวอลเลตตั้งแต่ในขั้นต้น พรรคเพื่อไทยแจ้งกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไว้ว่าใช้งบประมาณ 560,000 ล้านบาท มาจากการบริหารระบบงบประมาณและระบบภาษี แบ่งเป็น
1.ประมาณการรายได้รัฐที่เพิ่มขึ้นในปี’67 จำนวน 260,000 ล้านบาท 2.ภาษีที่ได้มาจากผลคูณต่อเศรษฐกิจจากนโยบาย 1,000,000 ล้านบาท 3.การบริหารจัดการ งบประมาณ 110,000 ล้านบาท 4.การบริหารงบประมาณที่ซ้ำซ้อน (90,000 ล้านบาท) สามารถปรับเปลี่ยน ตามความเหมาะสมตามสถานการณ์ด้านการคลังของประเทศ
โดยให้กับผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ใช้ในรัศมี 4 กิโลเมตรจากที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน
ใช้งบฯแผ่นดิน มาเป็นกู้
รัฐบาลเศรษฐา เข้าบริหารประเทศ 5 กันยายน 2566 นายกรัฐมนตรีกล่าวในที่ประชุมพรรคเพื่อไทย ตอนหนึ่งหลังจากนำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณ
“ตอนนี้เราได้ประสานกับทุกหน่วยงาน เพื่อให้ดิจิทัลวอลเลตออกได้โดยเร็ว ยืนยันเป็นการแจกเงินหนเดียว และคิดว่าจะทำได้ภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ต้องพยายามทำให้ได้ ไม่มีเวลาฮันนีมูน หลังถวายสัตย์ฯ อาจจะมีเวลาเฉลิมฉลองกันนิดหน่อย แต่พรุ่งนี้ก็ทำงานต่อ”
แต่กลายเป็นว่า รัฐบาลต้องถูกทักท้วงเรื่อง “เงิน” ที่จะนำมาใช้โครงการ 5.6 แสนล้านบาทนั้น เอามาจากแหล่งใด
10 พฤศจิกายน 2566 คณะกรรมการนโยบายดิจิทัลวอลเลตชุดใหญ่ที่มีนายกรัฐมนตรี จึงวาง “คำตอบ” ว่าใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน 6 แสนล้านบาท แบ่งเป็น ดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเลต 5 แสนล้านบาท มาจากการออก พ.ร.บ.กู้เงิน ตั้งงบฯ คืนใน 4 ปี
และ 1 แสนล้านบาทจะใช้ในกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-Curve)
พร้อมกับแคปยอดของผู้เข้าร่วมโครงการ 50 ล้านคน ที่มีรายได้ไม่เกิน 7 หมื่นบาทต่อเดือน และมีเงินในบัญชีทุกบัญชีรวมกันไม่เกิน 5 แสนบาท
เป็นการปรับแผนการใช้งบประมาณครั้งที่ 1 จากไม่กู้ มาเป็น กู้เงิน
ป.ป.ช.เบรกการกู้
อย่างไรก็ตาม แผนการ “กู้เงิน” ต้องสะดุด เมื่อถูกทักท้วงจากองค์กรตรวจสอบอย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)- ฝ่ายค้าน ว่าอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายวินัยการเงินการคลัง
รัฐบาลจึงต้องสอบถามไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา ช่วยพิจารณา “ข้อกฎหมาย” ว่ารัฐบาลจะออกกฎหมายเพื่อเป็น “ใบเบิกทาง” สำหรับการกู้เงิน 5 แสนล้านนั้น ทำได้-ไม่ได้
16 มกราคม 2567 การประชุมคณะกรรมการนโยบายชุดใหญ่ ต้องเลื่อนออกไปกะทันหัน เนื่องจากรัฐบาลทราบข่าวว่า ป.ป.ช.เตรียมส่งหนังสือทักท้วงการ “กู้เงิน 5 แสนล้าน” จึงต้องชะลอออกไปเพื่อรอพิจารณาความเห็นจาก ป.ป.ช.
15 กุมภาพันธ์ 2567 คณะกรรมการนโยบายประชุมครั้งที่ 1/2567 มีมติตั้งอนุกรรมการ 2 คณะ ได้แก่ 1.คณะอนุกรรมการเพื่อป้องกันการผิดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ของโครงการ 2.คณะกรรมการรวบรวมข้อเท็จจริงและความคิดเห็นด้านต่าง ๆ มีกำหนด 30 วัน พร้อมทั้งรับทราบข้อแนะนำของ ป.ป.ช.
ยกเลิกการกู้
27 มีนาคม 2567 ในการประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 2/2567 มีการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญคือการปรับแผนการใช้งบฯ เป็นครั้งที่ 2 นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า “กระทรวงการคลังได้เสนอความเป็นไปได้ของแหล่งเงินในโครงการดิจิทัลวอลเลตนอกเหนือจากการออก พ.ร.บ.เงินกู้ ผมได้มอบหมายให้กระทรวงคลัง และสํานักงบประมาณดําเนินการเรื่องนี้”
ใช้เงิน ธ.ก.ส. 1.72 แสนล้าน
ต่อมา 10 เมษายน 2567 ในการประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 3/2567 มีการแถลงใช้งบประมาณ 5 แสนล้าน จาก 3 ก้อน 1.เงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท
2.การดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ จำนวน 172,300 ล้านบาท โดยใช้มาตรา 28 ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดูแลกลุ่มที่เป็นเกษตรกรจำนวน 17 ล้านคนเศษ ผ่านงบประมาณ 2568
3.การบริหารจัดการเงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 175,000 ล้านบาท
แต่ถูกฝ่ายค้าน อย่างพรรคก้าวไกล ตั้งข้อสังเกตว่าการใช้เงิน ธ.ก.ส.มาดำเนินโครงการอาจเข้าข่าย ใช้เงิน “ผิดวัตถุประสงค์” ของ พ.ร.บ.ธ.ก.ส.
ไม่ใช้เงิน ธ.ก.ส.
จนรัฐบาลต้องปรับแผนเป็นครั้งที่ 3 ด้วยการจัดทำงบประมาณกลางปี 2567
วันที่ 22 พฤษภาคม 2567 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบหลักการจัดทำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 122,000 ล้านบาท (จะเข้าสู่การพิจารณาของสภา ในวันที่ 17 กรกฎาคม 2567)
ล่าสุด 15 กรกฎาคม 2567 ในการประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 4/2567 มีมติปรับเงินโครงการดิจิทัลวอลเลตเหลือ 4.5 แสนล้าน จากเป้าผู้เข้าร่วมโครงการ 45 ล้านคน แต่ยังคงกรอบเดิม 50 ล้านคนเอาไว้ เพราะรัฐบาลเทียบเคียงกับโครงการรัฐในอดีต ที่คนเข้าร่วมโครงการ 70-90%
เงิน 4.5 แสนล้าน รัฐบาลไม่ใช้เงินกู้จาก ธ.ก.ส. แต่จะใช้วิธีการบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 วงเงิน 165,000 ล้านบาท ประกอบด้วย แหล่งเงินจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมกลางปี 2567 วงเงิน 122,000 ล้านบาท ที่เหลืออีก 43,000 ล้านบาท ใช้วิธีการบริหารจัดการงบประมาณรายจ่ายปี 2567
2.การบริหารงบประมาณรายจ่ายปี 2568 วงเงิน 285,000 ล้านบาท ประกอบด้วย งบประมาณรายจ่ายปี 2568 ที่ตั้งไว้แล้ว 152,700 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 132,300 ล้านบาท ใช้วิธีการบริหารจัดการงบประมาณรายจ่ายปี 2568
เป็นการเปลี่ยนแปลงตลบที่ 4 กว่าจะได้แจก…แน่
ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา สภารับหลักการงบฯกลางปี 1.22 แสนล้าน โปะแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ไปเรียบร้อยแล้ว
โดยที่ประชุมเห็นชอบรับหลักการร่างกฎหมายดังกล่าวด้วย 297 เสียง ต่อเสียงไม่เห็นด้วย 164 เสียง จากผู้เข้าร่วมประชุม 459 คน โดยตั้งคณะกรรมาธิการ 32 คน