
พีระพันธุ์เผยมติผลหารือร่วม กกพ.-ปตท. ยืนค่าไฟตามเดิม 4.18 บาท ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลตรึงไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร
วันที่ 19 กรกฎาคม 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ชี้แจงถึงกระแสข่าวการปรับขึ้นค่าไฟ ว่าในช่วงสัปดาห์ก่อนตนและนายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวง ได้เดินทางไปประชุมพลังงานที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย จึงไม่ได้อยู่ชี้แจงข้อเท็จจริง อาจทำให้ข้อมูลสับสน แต่ถือเป็นเรื่องปกติทุกครั้งที่จะมีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า ก็จะมีข่าวออกไปในทางลบเสมอ
ซึ่งเป็นเรื่องที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และรัฐบาล โดยกระทรวงพลังงานจะต้องมีการหารือร่วมกันทุกครั้ง สำหรับในครั้งนี้เมื่อตนเดินทางกลับมา จึงได้มอบแนวทางไว้ ซึ่งตนไม่อยู่จึงไม่ได้มีการประชุมหารือกัน วันนี้ได้มีการเชิญประธานคณะกรรมการ กกพ. และนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และผู้ว่าฯ ปตท. มาหารือร่วมกัน โดยได้มีมติยืนค่าไฟอยู่ที่ 4 บาท 18 สตางค์ ตามเดิม
สำหรับค่าไฟฟ้าในงวดต่อไป ซึ่งตนต้องขอขอบคุณทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่สามารถจัดการภายในกันได้ เพื่อช่วยเหลือประชาชน รวมไปถึงทาง ปตท. ยินดีที่จะไม่รับค่าตอบแทนใด ๆ จากค่าไฟฟ้างวดนี้เลย เพื่อที่จะช่วยประชาชน
นายพีระพันธุ์กล่าวอีกว่า การช่วยเหลือประชาชนไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้าหรือน้ำมัน การดำเนินการไม่ได้อยู่ที่กระทรวงพลังงานเพียงกระทรวงเดียว ทั้งค่าไฟฟ้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯจะต้องนำเงินส่งคลังตามหลักเกณฑ์ แต่ในการให้ลดราคาหรือตรึงราคาค่าไฟฟ้า นั่นหมายความว่าทำให้รายได้ต่ำลง เมื่อไหร่ได้ต่ำลงก็จะต้องนำเงินส่งคลังตามผลกำไรที่เกิดจากรายได้ที่ต่ำลง แต่หน่วยงานอื่นกลับนำเอารายได้ที่ควรจะเป็นจริง หรือกำไรที่คำนวณเองมาให้เขานำเงินส่งคลัง
ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องที่ควรแก้ไข เพราะเป็นการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯรับภาระโดยที่ไม่มีหน่วยงานอื่นไปช่วย
ขณะที่ราคาน้ำมัน นายพีระพันธุ์ยืนยันว่าจะตรึงไว้ที่ราคาเดิม แต่อย่างที่ตนเคยพูดไว้แต่เดิม ทางกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นกลไกหลักมานานในการดูแลเรื่องราคาน้ำมันให้ประชาชน ซึ่งนับวันก็มีภาระหนี้สินมากขึ้น
โดยเฉพาะตามหลักเกณฑ์ที่ออกมาใหม่ ที่ให้อำนาจกองทุนน้ำมันหายไปส่วนหนึ่ง ในการกำหนดเพดานภาษี ซึ่งราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ประชาชนต้องจ่ายมาจาก 2 ส่วนคือ ราคาที่มาจากเนื้อน้ำมันแท้ ๆ อีกส่วนหนึ่งเป็นส่วนของภาครัฐ คือภาษีและภาษี มาบวกเพิ่มเรื่องกองทุนน้ำมัน กองทุนอนุรักษ์พลังงาน และค่าการตลาด แต่หากเทียบกันแล้วส่วนใหญ่จะเป็นภาษี
เพราะฉะนั้นการจะปรับลดราคาน้ำมันลงมาได้ ไม่ได้อยู่แค่ที่เนื้อน้ำมัน จะต้องมีการปรับลดภาษีด้วย แต่เดิมอำนาจทางการกำหนดเพดานภาษีสรรพสามิตเป็นหน้าที่ของกองทุนน้ำมัน แต่ปัจจุบันถูกตัดออกจึงกลายเป็นภาระที่เอาเงินจากกองทุนไปใช้อย่างเดียว ซึ่งตนให้สัมภาษณ์มาเสมอว่าจะต้องมีการปรับปรุงกฎหมายส่วนนี้ ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งสิ่งที่กระทรวงพลังงานจะเร่งดำเนินการและพยายามตรึงไว้ได้ คือตรึงราคาน้ำมันไว้อยู่ที่ 33 บาท
ส่วนจะมีการตรึงราคาค่าไฟไว้นานเท่าใดนั้น นายพีระพันธุ์ ระบุว่าราคาค่าไฟฟ้าจะมีการปรับทุก 4 เดือนตามค่า Ft ซึ่งเป็นการเฉลี่ยค่าใช้จ่ายด้านแก๊ส จะต้องดูว่ามีการปรับขึ้นลงอย่างไร
ขณะที่การแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนน้ำมัน นายพีระพันธุ์ระบุว่า ไม่ใช่เพียงแต่กระทรวงพลังงาน จะต้องคิดว่าจะช่วยกันทำอย่างไร พร้อมระบุว่าขอทำความเข้าใจเรื่องราคาน้ำมันดีเซล ระหว่างไทยกับมาเลเซียที่ถูกกว่าไทยมาก
เนื่องจากรัฐบาลมาเลเซียได้ใช้งบประมาณมาดูแลเหมือนกองทุนน้ำมันเกือบปี 1 เกือบ 4 แสนล้านบาท แต่ของเรามีหรือไม่ ซึ่งปัจจุบันทางมาเลเซียก็ไปไม่ไหวมีการยกเลิกอยู่เหมือนกัน ทำให้ปัจจุบันราคาน้ำมันของประเทศมาเลเซียขึ้นมา 10 กว่าบาท ไม่ต่างจากเรา
ขณะที่การแก้ไขกฎหมายการกำหนดเพดานภาษีน้ำมัน นายพีระพันธุ์ระบุว่าขณะนี้ใกล้เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งเมื่อเสร็จก็ต้องหารือต่อนายกรัฐมนตรีก่อน