สุรพล พยานปากเอกก้าวไกล คดียุบพรรค จุดเริ่มต้นคน 2 รุ่นปะทะกัน

witness
คอลัมน์ : Politics policy people forum

7 สิงหาคม 2567 คือวันชี้เป็นชี้ตายของพรรคก้าวไกล เพราะศาลรัฐธรรมนูญนัดตัดสินคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นยุบพรรค เพราะมีพฤติการณ์กระทําการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย และเข้าลักษณะกระทําการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย

“ชัยธวัช ตุลาธน” หัวหน้าพรรคก้าวไกล มั่นใจว่า ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งมีโอกาส (รอด)

“ชัยธวัช” มองความต่างของการต่อสู้คดียุบพรรคอนาคตใหม่ กับคดียุบพรรคก้าวไกล ว่า รายละเอียดไม่เหมือนกัน คดียุบพรรคอนาคตใหม่ เป็นกรณีของ “ข้อเท็จจริง” แต่คดีล้มล้างการปกครองเป็น “ข้อกฎหมาย”

พยานปากเอก ที่พรรคก้าวไกล ทาบทาม “ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์” นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายมหาชน

ชัยธวัช เล่าที่มา-ที่ไป การดึง ศ.ดร.สุรพล มาเป็นพยานคดีนี้ว่า อาจารย์สุรพล เป็นพยานในด้านกฎหมายของเรา คิดว่าจะมีน้ำหนักในฐานะนักวิชาการกฎหมายมหาชน และบทบาทหน้าที่ในแง่การเมืองช่วงที่ผ่านมา อาจารย์ไม่ได้ออกมาให้ความเห็นอะไรที่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จึงคิดว่าเหมาะสม

“ผมเชื่อว่ามีไม่กี่คนในประเทศหรอกที่คิดว่าศาลจะฟัง”

ADVERTISMENT

อีกทั้ง “ศ.ดร.สุรพล” ยังมีสถานะเป็นที่ปรึกษากฎหมายของ กกต. ซึ่งมีสถานะเป็นโจทก์ในคดีนี้

ถอดรหัส ศ.ดร.สุรพล

ย้อนดูความคิด-จุดยืนทางการเมืองอันชัดเจน ของ “ศ.ดร.สุรพล” ในงาน ปาฐกถาหัวข้อ “ชีวิต งาน และปณิธานเมื่อ 60 ปี” เมื่อ 18 กันยายน 2563 ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

ADVERTISMENT

ถึงสิ่งที่เขารู้สึกเสียดายว่าผู้มีอำนาจไม่เคยเรียนรู้จากประวัติศาสตร์

“ผ่านมา 60 ปี และจากการทำงานตลอด 40 ปี สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นการเรียนรู้ น่าจะเป็นประโยชน์กับยุคสมัย ที่จะพูดกันข้อหนึ่งและพูดข้อนี้ข้อเดียว

คือ รู้ว่าโลกและสังคมเกิดความเปลี่ยนแปลงตลอด และความเปลี่ยนแปลงนี้เร็วขึ้นเรื่อย ๆ มีเรื่องใหม่ ๆ เกิดขึ้นเยอะแยะมากมาย

คนรุ่นเก่าจะตามไม่ค่อยทัน สมัยที่ผมเป็นอธิการบดีเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว กับความเปลี่ยนแปลงวันนี้ สปีดเร็วเพิ่มขึ้น 10 เท่า และถ้าย้อนกลับไปถึงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง อาจเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น 100 เท่า

ไม่ได้หมายถึงเทคโนโลยี แต่หมายถึงความเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ เรื่อง ความเข้าใจของสังคม การรับรู้ มุมมองต่อเรื่องต่าง ๆ พลวัตเรื่องเศรษฐกิจ ความเปลี่ยนแปลงเรื่องความเชื่อ

คนรุ่นใหม่เรียนรู้อะไรมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ผ่านเทคโนโลยี ผ่านชีวิตที่เป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับใครอีกต่อไป เขามีโลกของเขา มีชีวิตของเขา

ความขัดแย้งคน 2 ยุค

ตอนนี้เมืองไทยกำลังเดินทางไปสู่ความขัดแย้งระหว่างคน 2 ยุค ไม่ใช่หมายถึงคนที่อายุมากนัก แต่หมายถึงคนอายุ 50 ปีขึ้นไป และกลุ่มคนอายุต่ำกว่า 30 ปี ส่วนคนตรงกลาง ๆ อาจเป็นคนที่ปรับตัวได้กับการเปลี่ยนแปลง

แต่คนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เป็นคนที่มีฐานะความเป็นอยู่ มีครอบครัว มีความสำเร็จ และมีสิ่งที่ต้องนึกถึง น่าจะประมาณ 40% และกุมทุกอย่างไว้ไม่ว่าทางเศรษฐกิจ และยึดกุมอำนาจรัฐ อำนาจการตัดสินใจทางการเมือง

เรากำลังพบกับคนที่อายุต่ำกว่า 30 ปี ซึ่งมีชีวิตโดยไม่ได้ขึ้นกับอะไร ไม่ได้ผูกพันกับสถาบันการเมืองในระบบ ไม่ได้อยู่ในลักษณะเดียวกับที่เราเคยอยู่ ไม่ได้ดิ้นรนต่อสู้เติบโตขึ้นมาในสังคมที่มีผู้คนมากมาย เขามีวิธีคิดของเขาโดยเฉพาะ เข้าใจต่อโลกและชีวิตอีกแบบ

ผมรู้สึกว่าคนกลุ่มนี้กำลังจะไม่มีที่อยู่ในสังคม ด้วยเหตุผลวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตการเมือง ด้วยเหตุผลการถูกจำกัดการเคลื่อนไหว ถูกจำกัดอาชีพ ด้วยเหตุผลการตกต่ำเศรษฐกิจทั่วโลก ก่อนและในระหว่างการระบาดโควิด-19

กีดกันคนอายุน้อย

เรากำลังกีดกันว่าคนอายุน้อย อย่าเพิ่งคิดอะไรมากมาย รอให้แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ก่อน รอให้ทุกอย่างนิ่งแล้วค่อยมาพูดอะไรทางการเมือง ผมคิดว่าไม่ค่อยตรงกับลักษณะวิถีชีวิตของคนอายุน้อย ที่ทำทุกอย่างได้ในเวลาเดียวกัน เรียกร้องทุกอย่างได้ เหมือนในโลกเสมือนที่พวกเขาอยู่

“ความจริงคนที่อายุน้อยเรียกร้องอะไร กลุ่มคนที่อายุมากที่ยึดกุมเอาไว้ไม่เคยกล้าพูด ไม่เคยกล้าวิพากษ์วิจารณ์ เพราะเรามีสถานะที่ต้องรักษาไว้ ส่วนคนยุคใหม่ ส่วนคนรุ่นใหม่ไม่มีอะไรจะเสีย ทุก ๆ ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่เขามีความหวังใหม่ ๆ”

ผมไม่รู้ว่าจะจบอย่างไร ได้แต่เป็นห่วง ผมคุ้นเคยกับการเมือง รู้จักกับหัวหน้าพรรคทุกพรรค รู้จักกับ สส.จำนวนมากในสภา คุ้นเคยกับผู้มีอำนาจรัฐทุกยุคทุกสมัย ที่ต้องทำงานร่วมกันในสถานะต่าง ๆ

ผมเข้าใจวิธีคิด เมื่อไรก็ตามที่คน 2 กลุ่ม ซึ่งไม่มีอะไรเหมือนกันเลย จำเป็นที่จะต้องตัดสินใจอะไรบางเรื่องด้วยกัน เมื่อคนกลุ่มที่อายุมากกว่า ประสบการณ์สูงกว่าไม่ยอมเปิด ไม่ยอมเสีย

คนซึ่งไม่มีทางไป คนซึ่งได้รับผลร้ายเป็นอย่างไร ผมคิดว่าเมื่อนั้นจะเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ในสังคม และหาทางออกได้ยาก

“หลายคนบอกว่าไม่เป็นไร ให้มันผ่านไปเดี๋ยวจัดการได้ ขอเรียนว่าเวลาอยู่ข้างคนอายุน้อยกว่าเสมอ ถ้าเราไม่เปิดช่องทาง ไม่ฟังเขา ไม่ยอมปรับเปลี่ยนและเสียอะไรบางอย่างที่เรามี มันจะนำไปสู่อะไรบางอย่างที่คาดคะเนไม่ได้ นำไปสู่อะไรบางอย่างที่อาจดีหรือร้ายมาก ๆ ได้ในสังคมไทย”

ผู้มีอำนาจไม่เคยเรียนรู้

น่าเสียดาย ผมเรียนรู้ว่า ผู้มีอำนาจไม่เคยเรียนรู้จากประวัติศาสตร์เหล่านี้เลย

เป็นข้อที่น่าเสียใจ ที่คนรุ่นใหม่เหล่านี้มีสิทธิ มีเสียง มีโอกาสที่จะแสดงออกในระบบอยู่แล้ว ผมพูดกับหลายท่านที่อยู่ในองค์กรเหล่านั้นว่า

การที่ท่านทั้งหลายไปตัดสินใจไปโดยไม่มีเหตุผลทางกฎหมายที่ถูกต้อง โดยตัดโอกาสในการแสดงออกทางการเมืองของกลุ่มที่เป็นตัวแทนของเขาในสภาด้วยกระบวนการยุบพรรคการเมือง โดยไม่มีฐานทางกฎหมายเท่าไหร่นั้น

“เป็นจุดเริ่มต้นของการปะทะกันของ 2 ความคิดนี้ เพราะเมื่อไรก็ตามที่ยังมีคนรู้สึกว่าพรรคเป็นตัวแทนเขา เขาก็จะรู้สึกว่าไม่ต้องมาทำอะไรเอง แต่เมื่อไหร่ที่เราไม่ให้เขาอยู่ในเวทีสภา เขาก็จะลงมาที่ถนน ไม่ได้พูดหลังเหตุการณ์ (ยุบพรรคอนาคตใหม่) ผมบอกกับผู้คนจำนวนมากที่ผมรู้จักคุ้นเคยและใกล้ชิดว่า อย่าได้ทำเรื่องนี้เลย ด้วยเหตุผลทำนองนี้ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว” (2561)

แต่ด้วยอะไรก็ตาม ด้วยอายุ ประสบการณ์ ความเชื่อบางอย่าง ด้วยกรอบความคิด ด้วยสถานะที่มีอยู่ ทำให้การตัดสินใจในเรื่องนี้เกิดขึ้น มีการตัดสินใจให้เรื่องนี้เกิดขึ้น และเป็นจุดเริ่มต้นของการปะทะกันของคน 2 ยุค 2 รุ่นในสังคมไทย เป็นสิ่งที่ผมเรียนรู้ และเรียนรู้ด้วยความรู้สึกเสียใจว่า อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการปะทะขั้วความคิด 2 อย่างนี้

วันนี้ “ศ.ดร.สุรพล” เป็นพยานปากเอกของพรรคก้าวไกล