วันนี้ (20 พ.ค.) นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ด้านการเมือง อธิการวิทยาลัยบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก Anek Laothamatas จากมหาเดร์และอันวาร์ สู่พรรค และนักการเมืองในอุดมคติของไทย ระบุว่า
ชัยชนะอันพลิกความคาดหมายของชาวมาเลเซียและชาวโลก ที่มหาเดร์และอันวาร์ อิบราฮิม ร่วมกันทำให้เกิดขึ้นได้อย่างน่าพิศวง ทำให้คนไทยได้แง่คิดสำคัญกันว่า อืม ! นักการเมือง และพรรคการเมือง อาจจะทำ “เรื่องใหญ่” ให้ปรากฏก็ได้ ไม่ใช่อยู่ไป ทำอะไรไปเหมือน “งานประจำ” เช่นสู้ให้รู้ว่าใครจะแพ้ จะชนะ แต่ แพ้ชนะไปเพื่ออะไร เพื่อใคร ก็ไม่ทราบ ผลต่อส่วนรวมแทบไม่ต่างกัน หรือ สู้เพื่อใครจะได้เป็นรัฐบาล หรือ ใครเป็นฝ่ายค้าน แต่เป็นไปทำไม เพื่ออะไร ก็ไม่แจ่มชัด
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
เป็นที่น่าเสียดายและน่าเป็นห่วง ที่ว่า พรรคการเมืองส่วนใหญ่ หรือนักการเมืองส่วนมาก ในระบอบประชาธิปไตย ในทุกวันนี้ เกือบจะทั่วโลก ทำอะไรไปมากมายโดยไม่ทำให้เกิดผล หรือ การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่หลวงแก่บ้านเมืองเลย
การเลือกตั้งของไทยในอดีตก็คล้ายกัน คือ มักเป็นแต่กิจประจำ อย่างที่เอ่ยมา พรรคการเมืองมักมี “เจ้าของพรรค” เป็นคนๆ เดียว เป็นไปจนตาย หรือ มีทายาทในตระกูลมาสืบทอดตำแหน่ง หรือ “เจ้าของพรรค” ตกเป็นของกลุ่มๆ เดียว ที่กุมการนำของพรรคมายาวนาน หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคมักครองตำแหน่งอยู่นานมาก บางพรรคเป็นกันจนตาย หรือ เป็นได้จนเกือบจะตลอดชีวิต ทั้งนี้ไม่ว่าพรรคนั้นจะแพ้ จะไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งไปกี่ครั้ง ก็ตาม ยากนักที่จะสรรหาผู้นำคนใหม่ จากกลุ่มอื่น ๆ กลุ่มต่าง ๆ มาผลัดเวียนกันเป็นหัวหน้าและเลขาธิการ พรรค
สมาชิกที่อ้างว่ามีเป็นจำนวนแสนหรือ ล้านคน เอาเข้าจริงก็ใช่ว่าจะมีบทบาท หรือ อำนาจอะไรมากนัก กล่าวได้ว่าประชาธิปไตยในพรรคของไทยมีน้อยครับ สมาชิกมักเล่นบทเป็น “ลูกน้อง” หรือ “ผู้ตาม” หรือ เป็น “ผู้สนับสนุน” ให้กับบรรดา “ผู้นำ”- “ผู้ใหญ่” ของพรรค แต่จะไม่อาจกำหนดนโยบายพรรค ไม่อาจชี้ขาดได้ว่าใครจะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค และ กรรมการบริหารพรรค ใครจะได้ลงรับเลือกตั้งในนามพรรค ใครจะได้อยู่อันดับไหนในบัญชีรายชื่อของพรรคและนั่นก็คือลักษณะถาวรของพรรคการเมืองเก่าๆแก่ๆ ส่วนใหญ่ของเรา พวกเขามักจะทำอะไรอย่างนั้น จะเป็นอะไรอย่างนั้น มิใยผู้ก้าวหน้าและห่วงใยในชาติบ้านเมืองอยากจะเห็นพวกเขาเปลี่ยนแปลง ได้มีบทบาทและ มีความมุ่งมั่นต่อประเทศมากกว่านั้น ดีกว่านั้น
แน่นอนพรรคการเมืองไทยที่ก่อตั้งใหม่ ๆ ก็มี ไม่เคยขาดสาย แต่พรรคในอุดมคตินั้นหาค่อนข้างยาก ส่วนใหญ่ก็คือ “พรรคแบบเก่า” ที่ใช้ “ชื่อใหม่” เวลาก่อตั้งก็มักจะเริ่มจากว่าพรรคนี้เป็นพรรคของใคร ใครเป็นหัว จะมีคนไม่กี่คนที่สถาปนาตนเองเป็นหัวหน้า และเลขาธิการ และรีบเร่งหานักการเมืองเก่าที่เชื่อว่ามีคะแนนนิยมสูงจากพรรคเก่าอื่นๆ พรรคใหม่เหล่านี้จำนวนหนึ่ง จะใช้เงินทองมหาศาลที่สัญญาว่าจะให้แก่ผู้สมัคร หลายครั้ง “หน้าเก่า” ที่มีคะแนนนิยมสูงอยู่ ไหนเป็นเครื่องล่อใจให้มาเข้าพรรคใหม่นี้ สิทธิเสียง และ บทบาทอำนาจ ของสมาชิกของพรรคใหม่ๆ นึ้ ก็แทบไม่ต่างจากบรรดา “พรรคเก่าๆ” ครับ คือ “น้อยมาก”
พรรคการเมืองจำนวนมากมายของเรา ต้องยอมรับ ครับ ว่ายังเป็นพรรคแบบ “ท้อป-ดาวน์” คือ มีเจ้าของพรรค มีนายทุนพรรค มีคนหาเงินมา และ คุมการใช้จ่ายเงินในพรรค ไม่ใช่ พรรคแบบฉบับ ที่ควรจะเป็น คือ “บอตตอม-อัพ” หมายความว่า ควรจะมีประชาชน จำนวนไม่น้อย—ใช่จะมีแต่นักการเมือง— ที่มีความคิด ความอ่าน และอุดมการณ์ร่วมกัน หรือ คล้ายกัน มารวมตัวกัน ก่อตั้งพรรค โดยไม่ใช้เงินทองมากเกินจำเป็น ไม่”ล่อใจ”ใครให้มาเข้าพรรค มาเป็นผู้สมัครในนามพรรค และจะต้องระดมสมาชิกพรรคจำนวนมาก ซึ่งเป็นผู้เสียสละ อาสาเข้ามาร่วมกันแบกภารกิจ การงาน และ กระทั่งค่าใช้จ่ายในการตั้งพรรค ดำเนินการเพื่อพรรค และทั่วทั้งพรรคจำต้องมี “ประชาธิปไตยภายใน” ให้มาก อาศัยอุดมการณ์ จิตวิญญาณ ที่แข็งแกร่ง และ อานุภาพแห่งความเสียสละของผู้ก่อตั้งและมวลสมาชิกมาปลุกเร้าให้ประชาชนเดินตาม หรือ ดีกว่านั้น มาร่วมเดินกับพรรค และในไม่ช้าก็ถึงขั้นระดมเอาสมาชิกมาร่วมกันนำพรรคเสียเลย
พรรคการเมืองและนักการเมืองในอุดมคติแบบ”ใหม่ “ แบบ “บ็อตตอม-อัพ” ที่กล่าวมานึ้ ไม่ใช่เรื่องทำได้ง่ายเลย แต่ก็จำเป็น และจะต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้ ถ้าระบอบประชาธิปไตยของเราจะก้าวไปข้างหน้า จะเป็นที่พึงพิงของประชาชนและชาติบ้านเมือง ทั้งจะพิทักษ์ปกป้องซึ่งชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และรัฐธรรมนูญได้ เหมือนที่คนทั่วไปมักคิดว่า จะมีแต่ก็คณะทหาร หรือ คณะข้าราชการ หรือ คณะนักวิชาการ -ปัญญาชน เท่านั้น ที่จะคิดได้ จะทำได้ และ จะยอมทำ ในประเทศไทย
ทว่า กรณีมหาเดร์และอันวาร์ย่อมชี้ชัดว่าในการทำการใหญ่ “พลิกแผ่นดิน” กอบกู้บ้านเมือง กอบกู้ประชาธิปไตย นั้น ชัยชนะจะไม่ได้มาจากเงินทองและอำนาจเดิมที่มีมา ไม่เช่นนั้นแล้ว นาจิ๊บ นายกรัฐมนตรี ผู้ร่ำรวยมหาศาล และครองอำนาจล้นฟ้ามาเกือบสิบปี คงรักษาอำนาจต่อไปได้ คงมีชัยชนะจากการเลือกตั้งอย่างแน่นอน
แง่คิด: การใหญ่ เพื่อบ้านเมืองนั้น มักเอาชนะได้ ไม่ใช่ด้วยเงิน ด้วยอำนาจ หากด้วย “พลังทางคุณธรรม” ไม่ใช่ด้วยคนที่มีอำนาจล้นฟ้าไม่กี่คน หากชนะได้ด้วยคนที่ “ไม่ธรรมดา” คนที่ “ผิดปกติ” เริ่มต้นกันไม่กี่คน ทุ่มเท เสียสละจนเกินมนุษย์ กัดไม่ปล่อย จิกไม่หยุด สู้ไม่ถอย สู้ยิบตา เกินที่มนุษย์ธรรมดาจะทำได้ เด็ดเดี่ยว เคี่ยวเข็ญกับอุปสรรค กับภยันตราย และ กับปรปักษ์ได้อย่าง “เกินจริง-เหนือจริง” เมื่อนั้น “อภินิหาร” ก็ปรากฏ ฟ้าก็จะรู้ ดินก็จะทราบ มหาชนอันไพศาล และแถวขบวนอันงามตาแต่น่าเกรงขามก็จะเกิดขึ้น ประชาชนจะเดินตาม จะเดินด้วย จะแวดล้อมปกปักษ์รักษาคณะนำและ “การใหญ่” นั้นก็จะพลันสำเร็จผล
การสร้างพรรคและการสร้างนักการเมือง รวมทั้งสมาชิกพรรคแบบใหม่ที่กล่าวมาในข้างต้น ที่จริง ก็ คือ “การใหญ่” อันนั้น !
ที่มา. มติชนออนไลน์