
กกต.ได้ทีเปลี่ยนทีมกฎหมายยกชุด ฉวยโอกาสที่ “บุญส่ง น้อยโสภณ” ลาออกไปเป็น สว.-สุรพลไปเป็นพยานก้าวไกล
วันที่ 29 กรกฎาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติให้มีการปรับปรุงคณะที่ปรึกษากฎหมายของ กกต.ใหม่ หลังจากที่นายบุญส่ง น้อยโสภณ อดีต กกต. และประธานที่ปรึกษากฎหมายชุดดังกล่าว ได้ยื่นหนังสือลาออก เนื่องจากได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.)
ทั้งนี้ คณะที่ปรึกษากฎหมายของ กกต.มาจากการเสนอชื่อของ กกต.แต่ละคนมีทั้งสิ้น 7 คน ประกอบด้วย 1.นายบุญส่ง น้อยโสภณ อดีต กกต. เป็นประธาน 2.นายศิริชัย จิระบุญศรี อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา 3.นายสำเรียง เมฆเกรียงไกร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
4.นายอนุรักษ์ นิยมเวช อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 5.นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน 6.นายสุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ 7.นายบุญรอด ตันประเสริฐ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านายบุญส่งยื่นหนังสือลาออก มีรายงานว่า กกต.ไม่สบายใจ และเห็นว่าการที่นายสุรพล นิติไกรพจน์ หนึ่งในที่ปรึกษากฎหมายไปให้ถ้อยคำเป็นพยานให้กับพรรคก้าวไกลในคดีที่ กกต.ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยสั่งยุบพรรคก้าวไกล เนื่องจากกระทำการล้มล้างการปกครองฯ แล้วก็ทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560
ดังนั้น เมื่อนายบุญส่งยื่นหนังสือลาออก กกต.จึงเห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะที่จะเปลี่ยนแปลงที่ปรึกษา กกต.ใหม่ให้เหมาะสม ซึ่งคาดว่า กกต.แต่ละคนจะมีการเสนอชื่อบุคคลเข้าสู่ที่ประชุม กกต. เพื่อแต่งตั้งเป็นคณะที่ปรึกษากฎหมาย กกต.ชุดใหม่ทดแทนชุดเก่าในเร็ว ๆ นี้
ทั้งนี้ บันทึกความเห็นของนายสุรพลที่ยื่นเป็นพยานให้พรรคก้าวไกลระบุตอนหนึ่งว่า คำร้องยุบพรรคก้าวไกลของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามที่ได้อธิบายไปข้างต้นว่า การยุบพรรคการเมืองนั้นมีความชอบธรรมเพียงพอ หรือน่าเชื่อถือหรือไม่ ตลอดจนกระบวนการยุบพรรคการเมืองต้องเคารพสิทธิของพรรคการเมือง และผู้ถูกกล่าวหาต้องได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรมชอบด้วยกฎหมายนั้น เมื่อพิจารณาถึงกระบวนการขั้นตอนในการยื่นคำร้องยุบพรรคก้าวไกลของคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว
กลับปรากฏว่าเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือการยื่นคำร้องยุบพรรคการเมืองของคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอนตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งในกรณีนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย ได้แก่ (1) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 และมาตรา 93
(2) ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียนพรรคการเมือง พ.ศ. 2566 โดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 เป็นบทบัญญัติที่กำหนดเหตุแห่งการยุบพรรคการเมือง และมาตรา 93 เป็นบทบัญญัติที่กำหนดกระบวนการขั้นตอนให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการในกรณียุบพรรคการเมือง โดยกำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพิ่มเติม
ได้แก่ ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายทะเบียนพรรคการเมือง พ.ศ. 2566 นั่นเอง ทั้งนี้ ระเบียบฉบับดังกล่าว ตั้งแต่ข้อ 5 ถึงข้อ 9 กำหนดกระบวนการ ขั้นตอน และระยะเวลาที่นายทะเบียนพรรคการเมืองและคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องปฏิบัติไว้
ตั้งแต่นายทะเบียนพรรคการเมืองทราบเรื่อง นายทะเบียนพรรคการเมืองตั้งพนักงานสอบสวนเบื้องต้น นายทะเบียนพรรคการเมืองตั้งคณะบุคคลทำหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน การแจ้งให้พรรคการเมืองได้ทราบข้อเท็จจริงและได้โต้แย้งแสดงพยานหลักฐาน การเสนอเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณา ไปจนถึงการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติเสนอคำร้องยุบพรรคก้าวไกลนี้ ในฐานะที่ปรึกษากฎหมายของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยเหตุภายนอก เหตุที่สาม กล่าวคือ “ไม่กระทำตามกระบวนการขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด” โดยการกระทำใดที่ไม่ดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด อันส่งผลให้การกระทำนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายและต้องถูกเพิกถอน ต้องเป็นกระบวนการขั้นตอนที่ไม่ได้ดำเนินการตามนั้น เป็นกระบวนการขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญด้วย