
ครม.อนุมัติสัญญาบริหารท่าเทียบเรือ เอ 0 ของ แอลซีเอ็มที มีผลบังคับใช้ต่อไปจนสิ้นสุดสัญญาปี 2577
วันที่ 30 กรกฎาคม 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นางสาวเกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมมีมติให้ความเห็นชอบแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมของโครงการท่าเทียบเรือ เอ 0 ท่าเรือแหลมแหลมฉบัง
โดยการให้มีสัญญามีผลใช้บังคับต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยเป็นไปตามรายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและด้านกฎหมายตามที่คณะกรรมการพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการลงทุนบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือ เอ 0 และท่าเรือแหลมฉบัง
ทั้งนี้ จากเดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อ 10 สิงหาคม 2553 มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม ตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนในการดำเนินการตามกฎหมายของโครงการท่าเทียบเรือและหากพบว่าโครงการใดมีมูลค่าโครงการเกินกว่า 1,000 ล้านบาท ให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535
ซึ่งต่อมากระทรวงคมนาคมตรวจสอบแล้วพบว่า โครงการท่าเทียบเรือ เอ 0 ท่าเรือแหลมแหลมฉบัง เป็นโครงการที่การท่าเรือประเทศไทย (กทท.) ทำสัญญาลงทุน บริหาร และประกอบการท่าเทียบเรือ เอ 0 กับบริษัท แอล ซี เอ็ม ที จำกัด (บริษัท) โดยมีกำหนดระยะเวลา 30 ปี เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2577 และเป็นโครงการท่าเทียบเรือที่มีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท
จึงต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 (ที่ใช้บังคับในขณะนั้น) ซึ่งมาตรา 72 บัญญัติ ให้ในกรณีที่ปรากฏว่าโครงการใดต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 แต่มิได้ดำเนินการหรือดำเนินการไม่ถูกต้องหรือครบถ้วนในขั้นตอนใดให้รัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดแต่งตั้งคณะกรรมการคณะหนึ่ง เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสม ซึ่งรวมถึงการยกเลิก การแก้ไขสัญญา และการให้สัญญามีผลใช้บังคับต่อไป
ดังนั้น กทท. จึงว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อจัดทำรายงานวิเคราะห์ด้านกฎหมายและด้านการเงินของโครงการดังกล่าว ซึ่งที่ปรึกษาเห็นควรให้สัญญาลงทุนฯ มีผลใช้บังคับต่อไปจนสิ้นสุดสัญญา เนื่องจากโครงการท่าเทียบเรือ เอ 0 มีอัตราผลตอบแทน (Internal rate of return : IRR) สูงกว่าที่ กทท. คาดหวัง และการยกเลิกหรือแก้ไขสัญญาอาจนำมาสู่ข้อพิพาทจนทำให้บริการสาธารณะหยุดลงและส่งผลกระทบต่อประชาชนได้
ทั้งนี้ คณะกรรมการตามมาตรา 72 ดังกล่าว มีมติเห็นชอบการให้สัญญามีผลใช้บังคับต่อไป ตามที่สัญญาลงทุน จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ตุลาคม 2577 ซึ่งตามนัยมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 บัญญัติให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำแนวทางการดำเนินโครงการต่อเนื่องจากโครงการร่วมลงทุนภายหลังจากสัญญาร่วมลงทุนสิ้นสุด
โดยเปรียบเทียบกรณีที่หน่วยงานของรัฐดำเนินการเองและกรณีที่ให้เอกชนร่วมลงทุนเสนอรัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดอย่างน้อย 5 ปี ก่อนที่สัญญาร่วมลงทุนจะสิ้นสุดลง ดังนั้นกระทรวงคมนาคม และ กทท. จึงควรศึกษาแนวทางการดำเนินโครงการที่เป็นไปได้และเหมาะสมสำหรับสัญญาลงทุนดังกล่าวเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่สัญญาลงทุนฯ จะสิ้นสุดลง โดยดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐ ความต่อเนื่องในการให้บริการสาธารณะ และผลกระทบต่อประชาชนเป็นสำคัญ