ไทยต้องโดดเด่น! “สมคิด”ย้ำรัฐจะแก้ “รวยกระจุก-จนกระจาย” ขอไทยอย่าเป็นสังคมทอนกำลัง

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Game changer…เกมเปลี่ยนอนาคต” ในงานสัมมนา “GAME CHANGER…เกมใหม่ เปลี่ยนอนาคต” จัดโดย “หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ” ในวาระครบรอบ 42 ปี ตอนหนึ่งว่า

2 วันที่แล้วสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแถลงตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาตรา 1 เป็นตัวเลขที่ดีแน่นหนาน่าพอใจ จีดีพีเติบโตร้อยละ 4.8 ไม่ได้ดีแค่ดัชนีหรือสองดัชนี เครื่องยนต์ทุกตัวติด ตัวเลขที่ดี ตัวเลขภาคเกษตร 6.5 หมายความว่าจากที่เคยหดตัวมานาน ตอนนี้เริ่มโตขึ้นมา เงินที่หล่อเลี้ยงชนบทก็จะมีมากขึ้น ตัวเลขการลงทุนภาคเอกชนซึ่งแต่เดิมพยายามผลักดันตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา เอกชนเริ่มมั่นใจที่จะลงทุน เพราะโตถึงร้อยละ 3.1 ในภาคอุตสาหกรรมนอกจากการผลิตโต 3.7 แต่ตัวอัตราการใช้กำลังการผลิตโตถึง 7.2 เปอร์เซ็นต์ ทั้งหมดจะเป็นจุดหมุนของเศรษฐกิจทุกภาคส่วน

“ส่งออกคงไม่ต้องพูดถึง เดือนที่แล้วโตขึ้นมาร้อยละ 12 กว่า ตุนคะแนนไว้แล้ว ส่วนการลงทุนจากต่างประเทศขอให้มั่นใจ เราจับมากับมือเรารู้ ประเทศไทยเป็น rising star ของภูมิภาค นักลงทุนมาไม่ขาดสายวานนี้กูเกิลมาเอง สัปดาห์ที่แล้วเกาหลีใต้มา เป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับการลงทุนของต่างประเทศ ส่วนการใช้จ่ายในภาครัฐบาลแม้ที่ผ่านมายังไม่คล่องตัวเท่าที่ควร แต่ถ้ามีโอกาสได้ฟังคุยใน ครม. อาจมีกฎหมายทำให้ ข้าราชการไม่กล้าผลีผลามใช้จ่าย แต่ไม่นานจะเข้ารูปเข้ารอย การท่องเที่ยว รายได้โตถึงร้อยละ 20 นักท่องเที่ยวโตขึ้นมาร้อยละ 15 ท่องเที่ยวจะเป็น sector หลัก ด้วยตัวแปรดัชนีที่เป็นสาหลัก ตัวเลขประกาศออกมาถ้าไม่มีปัจจัยมาขัดขวาง ความเชื่อของคนจะมีมากขึ้นแน่นอน การจะจับจ่ายมาก ต่างประเทศก็ลงทุนมากขึ้น ทุกอย่างจะออกผล ตัวเลขจีดีพี 4.8 เป็นตัวเลขที่ดี ดีใจไหม ก็แน่นอนทุกคนก็ต้องดีใจ แต่ไม่แปลกใจ เพราะเป็นสิ่งที่พยายามมานานแล้ว เพียงแต่จะออกมาเมื่อไหร่” นายสมคิด กล่าว

นายสมคิดกล่าวต่อว่า เศรษฐกิจไปได้ดีพอสมควรขอให้เชื่อมั่น และอยากให้ทุกฝ่ายรักษาโมเมนตัมนี้ให้ดี จะทำให้เราโดดเด่นมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงสองปีที่ผ่านมาขนาดจีดีพีขยายขึ้นมา 2 ล้านล้าน ใช่ความว่ามั่งคั่งของประเทศหรือไม่ เมื่อความมั่นคั่งเกิด ทุกภาคส่วนต้องทำให้ความมั่งคั่งก่อตัวมากขึ้นและยั่งยืน เมื่อความมั่งคั่งลงไปถึงเกษตรกร คนยากคนจน คนที่ใช้แรงงาน ได้มีโอกาสสัมผัส เป็นหน้าที่ของรัฐบาลทุกรัฐบาล ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาลนี้ คำว่ารวยกระจุก มันเป็นมานานแล้วไม่มีรัฐบาลไหนที่ทำโครงสร้างเศรษฐกิจให้รวยกระจายออกไป แต่ถ้าดูสิ่งที่เราทำมาตลอด ไม่ใช่ไม่พยายาม ที่มีคำพูดหลายอย่างว่าเราทำหลายอย่างเอื้อธุรกิจไม่เอื้อคนยากคนจนเกษตรกร จริงหรือว่าเท็จ ถ้าภาคเกษตรโตถึง 6.5 เกษตรกรไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยหรือ ถ้าหากว่าอัตราการผลิต การใช้กำลังการผลิตโตขึ้นมา 7.2 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีผลเลยเหรอการซื้อวัตถุดิบ การจ้างงานในโรงงาน การลงทุนจากต่างประเทศไม่มีผลจากการจ้างงานเลยหรือ ต่างประเทศที่มาลงในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เพื่อให้เป็นพื้นฐานต่อไปในคนรุ่นข้างหน้า ไม่ได้มีผลต่อประชาชนรากหญ้า เกษตรกร เลยหรือ การที่ลงสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย ไทยนิยมยั่งยืน เพื่อใคร ไม่ได้ประโยชน์กับคนยากคนจนเลยหรือ

“ถ้าเราทำใจให้เป็นธรรม ดูสิ่งที่ทำ รัฐบาลพยายามทำมาตลอด เมื่อมีโอกาสขึ้นมาบริหารราชการแผ่นดิน การบริหารต้องเพื่อคนส่วนใหญ่ เพื่อคนที่ด้อยกว่าเรา ตัวเลขที่ขึ้นมานั้นดี แต่จะให้เป็น inclusive growth ครอบคลุมชนชั้นล่าง ชั้นกลาง ถ้าดัชนีตลาดหุ้นขึ้นมา 4.4 ล้านล้านต่อปี ถามว่าคนชั้นกลางไม่ได้ประโยชน์ตรงนี้เลยหรือ เราพยายามมากแล้วและจะพยายามต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเวลาจะหมด ยอมอดทน ยอมฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่จะมีสติของเราเองว่าถ้าผมบริหารเศรษฐกิจจะไม่บริหารตามใจคน ผมมองว่าอนาคตต้องเป็นอย่างไรและจะเปลี่ยนสิ่งนั้นเพื่ออนาคต ไม่ใช่เพื่อคนรุ่นนี้แต่เพื่ออนาคตคนรุ่นหน้า รัฐบาลถึงเวลาก็ไป ดังนั้น สิ่งที่เคยพูดเมื่อ 3ปีที่แล้วเข้ามาพร้อมกับทีมเศรษฐกิจ 1.เข้ามาไม่ให้มันทรุด จะทรุดอยู่แล้วชีพจรเต้นต่ำ ตอนนี้ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป 2.ปฏิรูป อย่าให้พลาดโอกาสในครั้งนี้ เมื่อปี 2548 คล้ายๆ อย่างนี้ทุกอย่างดีหมด แต่พลาดโอกาสปรับเปลี่ยนโครงสร้างให้เข้มแข็งเอื้อคนส่วนใหญ่ให้ได้แต่เราพลาด ครั้งนี้ไม่พลาดโอกาส ร่วมกันทุกคนให้ก้าวข้ามช่วงเวลาเหล่านี้ให้ได้” นายสมคิด กล่าว

นายสมคิด กล่าวว่า เสาหลักของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เป็นเสาหลักต่อไป แต่จะต้องมีวิธีการใหม่ๆ ลงไปในแนวลึกให้ทันกับเหตุการณ์ไม่ว่าการลงทุน การส่งออกให้เข้มแข็งต่อไป แต่ต้องมีวิธีการใหม่ๆ ลงแนวลึก สิ่งที่เรา ทุกอย่างภาคการผลิตบริการจากนี้ไปต้องสร้าง value driven หมดเวลาแล้วที่จะผลิตของถูกๆ แรงงานถูกๆ ไม่ใช่ต่อไป แต่ value driven ต้องมาจากการคุณภาพ ต้องซีเรียสกับมัน ทุเรียนที่คิดว่าขายไปแล้วถูกเอาไปแปรรูป แต่ถ้ารักษาคุณภาพขายมันสดๆ ถึงมือตลาดที่ต้องการจริงๆ มูลค่าสูงกว่าแปรรูปไม่รู้กี่เท่า แต่ที่ผ่านมาไม่สนใจคุณภาพ เรื่องแพ็คเกจให้ดีๆ คอยเอาแต่ตัดแล้วขาย ดังนั้น value driven เป็นเรื่องคุณภาพ มาตรฐาน และเรื่องการใช้เทคโนโลยีจะช่วยให้เกิดนวัตกรรมที่คนแข่งกับเราไม่ได้ ต้องาจากค้นคว้ามีมหาวิทยาลัยเข้ามามีส่วนร่วม เรื่องการดีไซน์เป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างมูลค่า สิ่งเหล่านี้ต้องฝังลึกทั้งระบบภาครัฐและเอกชน

“ต่อจากนี้ไปนวัตกรรมเป็นเรื่องใหญ่ ต้องแปรวัฒนธรรมเป็นจุดเด่น เพราะไม่มีคู่แข่ง คนไทยมีความคิดสร้างสรรค์เยอะ ต้องเอาความคิดสร้างสรรค์เหล่านี้มาสร้างให้เป็นผลเชิงบวกต่อไปไห้ได้ ต้องทำให้มีคุณภาพ จึงเป็นตัวแปรตัวแรกเปลี่ยนไม่ง่าย ตัวแปรที่สอง เศรษฐกิจจะเข้มแข็งไปได้ดี จะต้องปลูกป่าให้ผู้ประกอบการให้เต็มพื้นที่ ทั้งหนุ่มสาวที่มีความคิด ทำให้เกิดขึ้นมาให้ได้ ไม่ใช่เศรษฐกิจที่เป็นเขาหัวโล้นมีค้นไม้ใหญ่ๆ แค่ 50 ต้น เศรษฐกิจอย่างนี้ไม่มีทางยั่งยืน และไม่เป็น inclusive growth จากวันนี้เป็นต้นไปคนตัวเล็กมีโอกาสท่องอินเตอร์เน็ตขายสินค้าไปทั่วโลกได้ คิดโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ได้ สตาร์ทอัพใหม่ๆ ทุกภาคส่วนต้องเป็นเป้าหมายของเราทั้งสิ้น นโยบายของรัฐทุกอันจะพยายามบอกว่าสร้างผู้ประกอบการใหม่ขึ้นมา สร้าง ecosystem ขึ้นมาให้ได้ ทำอย่างไรให้ประเทศเป็นไทยเป็น startup innovation ที่แท้จริง ไม่ใช่เรียนจบแล้วมาเป็นลูกจ้าง ซึ่งไม่ใช่ยุคสมัยอีกต่อไป ถ้า 1 ธุรกิจสามารถจ้างงานได้ 5 คน หากมีล้านธุรกิจ จะจ้างงานได้ 5 ล้านคน นี่คือสิ่งที่ประเทศจีนโตอย่างก้าวกระโดด ไม่ใช่ยักษ์ใหญ่ไม่กี่บริษัท”

นายสมคิด กล่าวอีกว่า ตัวแปรที่สามสำคัญอย่างยิ่งดิจิทัล เกมมันเปลี่ยนไปหมด คนตัวเล็กๆ เมื่อเติมเต็มให้เขาเรื่อง e-commerce เขาจะสร้างนวัตกรรม สร้างโมเดลธุรกิจใหม่ขึ้นมาได้ ในเมืองไทยจะต้องไม่ใช่สตาร์ทอัพเท่ห์ๆ แต่ในตลาดที่อยู่ห่างไกล ถ้าเติมเต็มให้เขาได้เรากำลังเปลี่ยนโลกของเขาเลย ขณะนี้ไทยมีพรรคพวกเข้ามาช่วย หัวเหว่ยทำตั้งนานแล้ว อาลีบาบาก็ต้องมาช่วย ล่าสุดกูเกิล ทำไมสนใจประเทศไทย ธุรกิจของกูเกิลมาพบจบอกว่าจะร่วมกับบริษัทไทยทำโครงการ google for Thailand เขาบอกว่าธุรกิจของกูเกิลต้องเรียนรู้จาก market ข้อมูลที่คนเสิร์ชข้อมูลจะทำให้รู้เลยว่าเทรนด์ไปทางไหน อนาคตมีอะไรที่จะให้บริการ ธุรกิจจะได้ก้าวหน้า พยายามอบรมคนให้ใช้อินเตอร์เน็ต เปิดให้คนตัวเล็กๆ มีความรู้ในการใช้แพลตฟอร์มตั้งสตาร์ทอัพขึ้นมานี่คือสิ่งที่เราคุยกับต่างประเทศทุกราย ทั้งจีน ญี่ปุ่น ฝรั่ง จะต้องเปลี่ยน SMEs ไปสู่ดิจิทัลให้ได้ไม่เช่นนั้นจะตกโลก

ตัวแปรที่สี่ ด้านท่องเที่ยวยังขาดการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่แต่เดิมมีนักท่องเที่ยวเข้ามา มีแต่โรงแรมให้บริการ หากคิดว่าตั้งแต่นักท่องเที่ยวเข้ามากระทั่งออกจากสนามบินสามารถทำธุรกิจอะไรได้ ขณะที่คนตัวเล็กๆ ที่อยู่ในเมืองรองซึ่งรัฐบาลผลักดันให้เป็นเมืองท่องเที่ยว สามารถคิดแพลตฟอร์มธุรกิจเล็กๆ ในห่วงโซ่การท่องเที่ยวได้ เพราะจำนวนนักท่องดีไม่ดีปาไป 40 ล้านคน เม็ดเงินที่ลงไปสู่ข้างล่างจะไปสู่ทุกจังหวัด ทุกชุมชนที่นักท่องเที่ยวไปเที่ยว จึงขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ประกอบการในต่างจังหวัด คิดผลิตสินค้า คิดบริการ แล้วดูแลเขา ส่วนนี้เป็นส่วนที่ประเทศอื่นไม่มีและเขาอิจฉาประเทศไทย อีกหน่อยคนตกง่านไม่ต้องกลัวเพราะมีภาคเกษตร ภาคบริการ ภาคท่องเที่ยว รองรับ สังคมไทยจะไม่มีการตกงาน

ตัวแปรที่ห้า เมืองไทยที่ยังรวยกระจุกเพราะยังไม่มีเมืองใหญ่ๆ ทั่วประเทศ จึงต้องเปลี่ยนจาก province เป็น city ให้ได้ พอทุกจังหัดมีโอกาสพัฒนาการผลิต เกษตร ท่องเที่ยว บริการ หากการพัฒนาโรงเรียนก็กระจายในจังหวัดไม่ต้องย้ายมา กรุงเทพฯ รายได้ก็จะโต ถ้าจังหวัดไหนกำลังน้อย กลุ่มจังหวัดก็จะช่วย ถ้าตัวเล็กไม่สามารถยืนได้ตัวเอง ตัวใหญ่ก็จะเข้ามาช่วย การจัดสรรงบประมาณจึงต้องเน้นกลุ่มจังหวัด ถ้ามี 77 จังหวัด มีสัก 15 จังหวัดที่มีความแข็งแกร่งอย่างในประเทศจีน จะเป็นประเทศที่แข็งแกร่ง เป็นเหตุผลว่าทำไมต้องตัดถนน มีรถไฟวิ่งผ่านเมืองรอง

สุดท้ายที่เป็น Real Game Changer ทุกอย่างตั้งอยู่บนสมมติฐานข้อเดียวที่ว่า ประเทศไทยต้องโดดเด่น การที่คุณเป็นแค่หนึ่งในอาเซียนไม่ได้เด่นเลย สิงคโปร์เอาความเด่นไปหมดในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา เพราะเขารู้จักเป็น game changer สร้างเกมด้วยตัวเอง เราหนึ่งประเทศก็เล็กแถมยังจน แต่ถ้าวาดภาพว่าว่าเราเป็นศูนย์กลาง CLMVT ภาพนี้จะต้องเสนอให้เห็นชัดๆ ว่าในภูมิภาคนี้เป็น growth area สำหรับประเทศไทย ลองคิดดูว่ามีประเทศไหนในโลก ที่ทำให้จีดีพีไต่จาก 1 เปอร์เซ็นต์ มาถึง 4.8 ในเวลา ถ ปี มีประเทศไหนในโลกทำได้บ้าง ถ้าเอาสิ่งที่เป็นปมเด่นโชว์ให้เห็นเซ็ตเกมเอาเอง เขาจะเริ่มเห็นภาพและเริ่มเชื่อเรา

“แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อตัวเราเอง เรากำลังกลายเป็นสังคมที่ขาดความเชื่อถือซึ่งกันและกัน เวลาเราอ่านเฟซบุ๊กน่ากลัวมาก กลุ่มหนึ่งก็จะเกลียดชังอีกกลุ่มหนึ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา เป็นสังคมที่แตกแยก นี่คือสังคมทอนกำลังที่ครั้งหนึ่งนักวิชาการเคยกล่าวคำนี้ออกมาว่า สังคมไทยอย่าเป็นสังคมทอนกำลัง การปฏิรูปต้องใช้พลังมวลชนทั้งหมดที่มุ่งไปสู่ทางเดียวกัน เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณ มีคนเสียประโยชน์ มีคนไม่เข้าใจ มันต้อง move ไปข้างหน้าด้วยพลังมหาศาล ถ้าขาดความมั่นใจ ขาดความเชื่อมั่นต่อกัน คิดเพียงอย่างเดียวคือการเมืองคือการได้มาซึ่งอำนาจ ไม่ใช่อำนาจคือการบริหารเพื่อประชาชน ลักษณะเช่นนี้เป็นการทอนกำลังของประเทศ ต้องเตือนว่าอย่าให้เกิดลักษณะเช่นนี้” นายสมคิด กล่าว