คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ ผู้เขียน : ณัฐวุฒิ กรัณยโสภณ
คณะรัฐมนตรี (ครม.) แพทองธาร 1 “โผไม่พลิก” แต่ระหว่างทางในฉากการตั้ง ครม.เกิดปรากฏการณ์มากมาย พรรคเพื่อไทยดึงกลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เขี่ยพรรคพลังประชารัฐของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ดึงพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาเติมเสียงในพรรคร่วมรัฐบาล
“ประชาชาติธุรกิจ” สนทนากับ “สติธร ธนานิธิโชติ” ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า นักคณิตศาสตร์การเมือง วิเคราะห์โฉมหน้า ครม.แพทองธาร ที่รวมถึงปัจจัยที่ “ทักษิณ ชินวัตร” เปิดหน้าเป็นบวก หรือลบกับรัฐบาลกันแน่
ครม.ไทยสไตล์โมเดล
สติธร มองว่า เป็นการเมืองชุดเดิม แค่เปลี่ยนหัวขบวน องค์ประกอบไส้ในเหมือนกันหมด เอาบ้านป่า (พรรคพลังประชารัฐ ฝ่าย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ออกไปแล้วเก็บกลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ไว้ เอาพรรคประชาธิปัตย์ค่อนหนึ่งเข้ามา เป็นการเมืองที่จริตการเมืองทางเดียวกันคือสไตล์บ้านใหญ่
ไทยสไตล์โมเดล ก่อนรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ก่อร่างสร้างคอนเน็กชั่นเข้ามา ส่งตัวเอง วางฐานเสียงตัวเองในการเลือกตั้งท้องถิ่น และทำการเมืองแบบนี้ขึ้นสู่ฐานการเมืองระดับชาติ จนถึงการตั้งคณะรัฐมนตรี มุ้งใหญ่ มุ้งเล็ก พอมาปัจจุบันก็ถือว่ารื้อฟื้น
แม้ในยุคไทยรักไทยมีมุ้ง แต่กระแสคุณทักษิณ ชินวัตร สูง ถ้าคุณทักษิณจะจิ้มออกก็ต้องยอม แต่วันนี้ไม่ขนาดนั้น เลือกตั้ง 2566 ก็พิสูจน์ว่าบ้านใหญ่ช่วยตัวเองพอสมควร และคนจิ้มก็รู้ว่าคุมได้แค่ไหน ถ้าแตกหักไปเลยปล่อยให้พวกนี้ไปซบพรรคอื่น คนจิ้มก็แย่เหมือนกัน
ยิ่งวันนี้พรรคเพื่อไทยไม่เอาเหรอ ย้ายมุ้งไปอยู่พรรคภูมิใจไทยจะทำอย่างไร เพราะแค่พรรคไทยสร้างไทย ดูเหมือนไม่มีอะไร ยังชนะตั้งหลายเขต จะมีพื้นที่แบบนี้เยอะขึ้น เพราะบางส่วนจะถูกดึงคะแนนไปที่พรรคประชาชนด้วยในอนาคต
“ที่เห็นรายชื่อรัฐมนตรีแบบนี้ เพราะมันไปไกลกว่านี้ไม่ได้ ที่มีคนบอกว่าให้เอาเทคโนแครตมือดี เอามืออาชีพมาเป็นรัฐมนตรีให้ถูกฝาถูกตัว…ไม่มีทาง”
“เพราะเอามาปุ๊บก็มีมุ้งอกหัก จะเยียวยาพวกนี้อย่างไร ก็จะทำได้เฉพาะส่วนที่ตัวเองคุมได้ระดับหนึ่ง เช่น ตำแหน่งสำคัญ ๆ ที่เอาไว้ดำเนินการเรื่องเศรษฐกิจ”
แล้วประชาชนได้อะไรจากเกมแบบนี้ “สติธร” ตอบว่า ข้อดีข้อเดียวที่ได้แน่ ๆ
คือ ยังไงเขาก็ต้องทำเพื่อได้คะแนนเสียง ส่วนประชาชนมีคะแนน เมื่อเขาเป็นรัฐมนตรีได้ เขาก็จะเชื่อมประโยชน์ไปยังพื้นที่เขาได้ ผ่านการเมืองท้องถิ่น มองประชาชนเป็นลูกค้า เดี๋ยวฉันจะไปให้บริการ แต่ไม่ได้มองว่าประชาชนมีอำนาจ เช่น คุณทักษิณบอกว่าของเขามองเรื่องโอกาสที่จะได้รับ บริการที่ดี แต่ไม่ใช่ว่าเราจะให้เท่าเทียมในเรื่องเชิงอำนาจ
บทที่ต้องเล่นของ “ทักษิณ”
มองบทบาท “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เปิดหน้าเป็น “ตัวช่วย” รัฐบาลแพทองธารอย่างไร “สติธร” กล่าวว่า ยังไงก็ต้องเปิดหน้า เพราะเขาคือตัวจริง ใคร ๆ ก็รู้ เป็นสัญลักษณ์ที่ง่ายที่สุดที่คนจะเชื่อมั่น เชื่อถือ เชื่อมือรัฐบาล
คุณทักษิณออกหน้าแบบนี้เป็นบวกกับรัฐบาล ถ้ามาแล้วแบบหนิม ๆ อยู่ข้างหลัง อยู่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ดูไม่น่าเชื่อถือ ออกมาชัด ๆ ไปเลย โดยเฉพาะรัฐมนตรีปีกพรรคเพื่อไทย ถึงจะโนเนมแค่ไหน คนจะมองข้าม ไม่สนตัวบุคคล คนจะมองภาพใหญ่ว่าเพื่อไทยจะทำอะไรให้ ทักษิณจะคิดอะไรมา
“และเป็นบทที่ต้องเล่น เอาหน้าคุณทักษิณมาแปะไว้ แล้ว ครม.จะหน้าตาอย่างไรก็ได้ เทียบกับไปสร้างความเชื่อมั่น ถ้าเอารัฐมนตรีรายบุคคลมาเรียงให้คนชื่นชมว่า..โห สุดยอดเลย ครม.ชุดนี้ แต่จะเอาใครมาวางให้ได้ภาพแบบนี้ แต่การเอาหน้าคุณทักษิณมาแปะไว้ แบบนี้มัน Fast Track กว่ากันเยอะเลย เพราเห็นชัดอยู่แล้ว”
ชี้ขาดใน 6 เดือน
การเปิดหน้าของ “ทักษิณ” ทำให้เกิดการร้องเรียนของ “นักร้อง” สติธรวิเคราะห์ว่า ยังไงก็ต้องมีอยู่แล้ว เพราะ ครม.ชุดนี้เปิดด้วยการสร้างศัตรูพอสมควร เช่นกับลุงบ้านป่า อาวุธหนักของลุงคือนักร้อง เชื่อมโยงกับองค์กรอิสระ
แต่วันนี้พรรคเพื่อไทยตัดสินใจแล้วว่าพร้อมสู้ เพราะในสถานการณ์ช่วงเริ่มต้น โอกาสที่จะถูกล้มไปเลย..ยาก เพราะอาจได้รับสัญญาณว่าต้องพิสูจน์ฝีมือให้เต็มที่ สิ่งที่ดีลกันไว้ต้องเห็นผล แปลว่ายังไง 6 เดือนแรกเป็นอย่างน้อยก็ต้องได้ทำงาน พิสูจน์ให้เห็นก่อน จะสำเร็จอย่างที่คาดหวังกันไหม
ดังนั้น 6 เดือนแรกไม่น่าห่วง แต่ 6 เดือนหลังสิ ขึ้นอยู่กับว่าองค์กรอิสระจะเก็บประเด็นของนักร้องไว้ หรือปัดตกไปเลย ช่วงนี้ลุ้นแค่นี้ ถ้ากั๊กไว้ก่อนไว้เป็นเกมยาว เผื่อเดือนที่ 6 ที่ 7 จะได้หยิบมาใช้เลย
สติธรนับนิ้ว แล้วประเมินว่า 6 เดือนจากนี้ชี้วัดแล้วรัฐบาลอยู่หรือไป
“ใช่ เพราะมันเป๊ะเลย เปิดมาก็จะได้ทำงานเต็มไม้เต็มมือ 1 ตุลาคมพอดี จนถึงไตรมาสแรกของงบประมาณ 68 และเป็นไตรมาสสุดท้ายของเศรษฐกิจปี’67 ต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกทางเศรษฐกิจของปี’68 ก็จะเห็นว่ากระเตื้องหรือไม่ จีดีพีโตไหม เม็ดเงินลงทุนไหลเข้าไหม”
อิ๊งค์งานยากกว่าทักษิณ
สติธร มองว่า รัฐบาลอิ๊งค์โจทย์ยากกว่ารัฐบาลทักษิณเยอะมาก ทั้งตัวเลข สส.ด้วย เพราะสมัยไทยรักไทย จนถึงพรรคเพื่อไทย ยุคคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มี สส.คุมสภาเบ็ดเสร็จ แถมบางยุคที่ สว.มาจากการเลือกตั้งยังคุมได้ด้วย
แต่พรรคเพื่อไทยวันนี้คุมได้แค่ครึ่งเดียวของฝ่ายรัฐบาล และ สว.คุมไม่ได้เลย เฉพาะที่เป็นทางการ และพวกที่ไม่มีตำแหน่งทางการอีกเท่าไหร่
เรตติ้งไม่ขึ้น คือปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของจริง ๆ คือเข็นไม่ขึ้น สมมุติไม่มีสถานการณ์อะไรมาช่วยให้แก้ตัว เช่น วิกฤตน้ำท่วมใหญ่เข้ามาแทรกแซง ถ้ารัฐบาลอยู่ในสภาวะที่ปกติมาก ๆ แล้วรัฐบาลยิงนโยบายตูม ๆ ลงไป แต่ไม่เห็นผลอะไร อันนี้ตายแน่ อารมณ์เหมือนรัฐบาลชุดที่แล้วโดน อยู่มาตั้ง 1 ปีไม่มีอะไรดีขึ้น
สอง ความสัมพันธ์กับพรรคร่วมรัฐบาลจะเป็นจุดเปราะบางเช่นกัน เพราะเข้าโค้งปีที่ 2 ทุกพรรคเตรียมเลือกตั้ง ดังนั้น นโยบายอะไรที่เชื่อมกับฐานเสียงคะแนนนิยมต้องถูกผลัก และอะไรที่ไม่ตรงใจกับรัฐบาลเพื่อไทยก็อาจจะมีปัญหา เคลียร์กันไม่ลง เช่น ตอนนี้เราดูกันว่าพรรคภูมิใจไทยเสนอนโยบายอะไร แล้วจะขัดกับพรรคเพื่อไทยไหม แล้วท่าทีพรรคเพื่อไทยจะยอมไหม
ลุงป้อมยังไม่ตายทางการเมือง
อนาคตของ “บิ๊กป้อม” ถูกปิดเกมแล้วหรือยัง “สติธร” มองว่ายังไม่ขนาดนั้น เพราะธรรมชาตินักการเมืองคือวิ่งไปหาอำนาจ เมื่ออำนาจ ผลประโยชน์อยู่ตรงไหนก็วิ่งไปหาตรงนั้น วันนี้กลุ่มที่อยู่กับลุงป้อมก็อยู่ด้วยบุญคุณต้องทดแทน ดูแลกันมา ยกเว้นว่ามีที่พึ่งดี ๆ จริง ๆ นาทีนี้ยังดูว่าลุงป้อมมีเครื่องมืออะไร มีโอกาสพลิกเกมหรือไม่ ต้องดูยาว ๆ
เท่ากับว่าศึกระหว่าง ร.อ.ธรรมนัส กับ ฝ่าย พล.อ.ประวิตร ยังไม่มีฝ่ายใดชนะเด็ดขาด “สติธร” บอกว่าใช่ ฝ่าย ร.อ.ธรรมนัสเต็มที่คือถูกขับออกมาเพื่อไปอยู่พรรคกล้าธรรม ส่วน พล.อ.ประวิตรก็ต้องอยู่กับกลุ่มคนที่อยู่ด้วยเวลานี้จนหมดเทอม และคนพวกนี้ก็จะประเมินอีกทีว่าลุงป้อมไหวไหม แล้วมีใครชวนไปอยู่ด้วยไหม แล้วเทียบกันว่า การอยู่กับการย้ายอันไหนดีกว่ากัน
ดึง ปชป.แก้เกม ภท.
ขณะเดียวกัน “สติธร” อ่านเกมที่พรรคเพื่อไทยดึงพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาล เป็นการแก้เกมพรรคภูมิใจไทย
“พรรคภูมิใจไทยแข็งแกร่งมาก เป็นตัวแปรที่สำคัญ เป็นที่มาว่าทำไมพรรคเพื่อไทยถึงเล่นเกมดึงพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาในการตั้งรัฐบาล”
“เพราะ Magic Number ของเพื่อไทยคือ 321 เสียง เวลาลบ 71 เสียงของพรรคภูมิใจไทย จะเท่ากับ 250 เสียง ดังนั้น พรรคเพื่อไทยต้องยันตัวเลขไว้ หากแตกหักพรรคภูมิใจไทยขึ้นมา รัฐบาลต้องรอด จึงต้องเผื่อไว้ด้วยการดึงพรรคประชาธิปัตย์เข้ามา และ ร.อ.ธรรมนัสที่เข้ามาก็มีตัวเลขพรรคเล็กมาการันตี อีก 4-5 พรรค”
ดังนั้น พรรคภูมิใจไทยจะมาต่อรองมากก็ไม่ได้ พรรคเพื่อไทยก็รู้อยู่ว่าพรรคภูมิใจไทย ณ ชั่วโมงนี้คือคู่แข่ง เป็นจุดสมดุลอำนาจ ว่าจะมีอำนาจต่อรองมากหรือน้อย และต้องมองต่อไปในอนาคต
พรรคเพื่อไทยคือการเมือง 2 ขา ขาหนึ่งชิงกระแสจากประชาชน อีกขาหนึ่งเป็นขาบ้านใหญ่ ที่ต้องฟัดกับพรรคพวกนี้ ซึ่งพรรคภูมิใจไทยคือเบอร์หนึ่ง ส่วนภาคอื่น เช่นภาคใต้ พรรคเพื่อไทยก็ไม่มีประวัติว่าจะไปชิงมาได้ ดังนั้น ก็ต้องปล่อยพรรครวมไทยสร้างชาติ
แต่พรรคภูมิใจไทยมันซ้อน ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่สามารถสร้างความสบายใจให้กับบ้านใหญ่เมื่อไหร่ พวกนี้ก็พร้อมไปหาพรรคภูมิใจไทย ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจะเสียสองฝั่งไม่ได้ ถูกล้อมไว้หมดแล้ว เสียสองฝั่งก็ตาย ต้องยันไว้
จะเรียกความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อไทย-ภูมิใจไทย อย่างไร สติธรยอมรับว่าอธิบายยาก ในแง่หนึ่งเหมือนมีศัตรูคนเดียวกันคือ “สีส้ม” (พรรคประชาชน) เพราะคุกคามพวกเขาโดยตรงอยู่แล้ว และเป็นศัตรูกับทุกกลุ่ม
พรรคภูมิใจไทยก็ต้องเป็นมิตรกับพรรคเพื่อไทยเอาไว้ เพราะถ้าพรรคเพื่อไทยเละเมื่อไหร่ คะแนนกระแสก็จะเทไปพรรคสีส้มหมด ดังนั้น จึงต้องถนอมน้ำใจกันประมาณหนึ่ง
แต่ขณะเดียวกัน พรรคภูมิใจไทยก็รู้ว่าพรรคเพื่อไทยจะอยู่รอดได้ส่วนหนึ่งก็ต้องกินบ้านใหญ่ จึงอย่าล้ำเส้น ดังนั้น จึงต้องมีทั้งถนอมน้ำใจกันและอย่าล้ำเส้นกัน จะเป็นไปอย่างนี้
แต่พรรคเพื่อไทยห้ามอ่อน เพราะวันนี้สิ่งที่พรรคเพื่อไทยนำมายันกับพรรคร่วมรัฐบาล คือความนิยม ไม่ว่าจะมีมากหรือมีน้อย แต่ก็พะยี่ห้อ ซึ่งฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลยังสร้างความนิยมไม่ได้ ดังนั้น ตราบใดที่สร้างไม่ได้ ก็แปลว่าพรรคเพื่อไทยเสียความนิยมไป ก็จะไปทางพรรคส้ม (พรรคประชาชน) จึงต้องเก็บพรรคเพื่อไทยไว้ก่อน เพื่อยันตรงนี้ไว้ไม่ให้พรรคส้มโตเกินไป
โอกาสเพื่อไทยสู้ ปชน.
นาทีนี้พรรคประชาชน (ปชน.) ที่เรียกว่า “พรรคส้ม” แข็งแกร่งขนาดไหน “สติธร” อ่านว่า แข็งแกร่งด้วยอารมณ์ความรู้สึก ใครก็ตามที่มาเลือกพรรคส้ม ถ้าไม่นับอุดมการณ์ต่าง ๆ มันคือการเลือกเพราะเขาไม่เอากับไทยสไตล์โมเดลในระดับชาติ ดังนั้น ฝ่ายพรรคเพื่อไทยต้องทำให้ความรู้สึกอยากเปลี่ยนลดลง ให้เห็นว่าระบบแบบไทยสไตล์โมเดลไปได้นี่หว่า ไม่ได้แย่ ต้องให้เห็นว่าอยู่กับเราก็เท่าเทียม เป็นธรรมได้
แล้วอะไรจะเป็นหมัดเด็ดของรัฐบาลที่ทำให้คนรู้สึกเช่นนั้น สติธรตอบว่า ที่คุณทักษิณพูดถูกต้องแล้ว เมื่อให้อำนาจที่เท่าเทียมไม่ได้ ก็ต้องให้โอกาสที่เท่าเทียม ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเข้าถึงโอกาส
จึงไม่ใช่แค่แจกเงิน แต่เป็นโอกาสในการใช้ชีวิต ทำมาหากิน ต้องนึกถึง 30 บาทรักษาทุกโรคไว้ในใจ ว่านโยบายอะไรในทางเศรษฐกิจ อะไรที่จะทำให้คนรู้สึกเหมือนโครงการ 30 บาท
รัฐบาลอยู่ครบเทอม
อย่างไรก็ตาม สติธรเชื่อว่ารัฐบาลอิ๊งค์อยู่ครบเทอม “ส่วนปฏิวัติไม่น่ามี เพราะไม่ใช่สิ่งจำเป็น อย่างน้อย ๆ ตรวจการบ้าน 6 เดือน ก็จะไปบรรจบกับเดือนพฤษภาคม เท่ากับครบ 2 ปีเลือกตั้ง ถ้าผ่านมาแล้วยังง่อนแง่น ต้องเปลี่ยนนายกฯ แปลว่าพรรคเพื่อไทยโชว์ฟอร์มไม่ดี จะไม่นำไปสู่เกมเลือกตั้ง
ถ้าพรรคเพื่อไทยโชว์ฟอร์มไม่ดี แล้วไปเลือกตั้งก็จะไปเข้าทางพรรคประชาชน ยังไงก็ต้องตื๊ออยู่ต่อ ต้องเปลี่ยนอาวุธใหม่ (นายกฯ คนใหม่) เพื่อดึงเวลา แล้วไปพิสูจน์เอาว่าจะได้แค่ไหน ดังนั้น รัฐบาล 3 ปีอัพอยู่แล้วด้วยเงื่อนไข เว้นอย่างเดียวพรรคเพื่อไทยมาแล้วสุดยอด มั่นใจ เขาอาจจะยุบสภาเอง แต่ยาก ด้วยสถานการณ์เวลานี้
ส่วนปฏิวัติมีเกมเดียว ฝ่ายพรรคเพื่อไทยและอนุรักษนิยมตีกันเละเทะ หรือถ้าเลือกตั้งครั้งหน้าแล้วพรรคประชาชนชนะเลือกตั้ง 200 กว่าเสียง ถึง 300 เสียง ตายเลย อันนี้ตัวใครตัวมัน (หัวเราะ) แต่ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก