
วุฒิสภานัดลงมติ ร่างกฎหมายประชามติ ฟื้นเสียงข้างมาก 2 ชั้น หากไฟเขียว ต้องตั้งกรรมาธิการร่วม-ถูกแขวนอย่างน้อย 6 เดือน
วันที่ 27 กันยายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานจากวุฒิสภาว่า นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้นัดประชุมวุฒิสภาวันที่ 30 กันยายน โดยมีวาระพิจารณาเรื่องด่วน คือ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่…) พ.ศ. … ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ ที่มี พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว. เป็นประธาน กมธ. พิจารณาเสร็จแล้ว
ทั้งนี้ สำหรับสาระสำคัญของรายงานที่ กมธ.เสนอต่อที่ประชุม พบว่ามีการแก้ไขเพียง 1 มาตรา คือ ในมาตรา 7 โดยแก้ไขมาตรา 13 ว่าด้วยเกณฑ์การผ่านประชามติ โดย กมธ.ได้แก้เพิ่มเติมไปจากบทบัญญัติที่สภาเห็นชอบ โดยได้เติมข้อความในวรรคสอง
กำหนดให้การทำประชามติเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และมีจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิออกเสียงในเรื่องที่ทำประชามตินั้น ซึ่งแปลความได้ว่า ต้องใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น หากเป็นกรณีที่ทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ขณะที่เรื่องทั่วไปนั้น กมธ.ยังคงหลักเกณฑ์ใช้เสียงข้างมากชั้นเดียว คือ เสียงข้างมากของผู้ออกมาออกเสียง และเสียงข้างมากนั้นต้องสูงกว่าคะแนนไม่แสดงความคิดเห็นเรื่องที่ทำประชามติ
ทั้งนี้ ในรายงานดังกล่าวต่อการแก้ไขมาตรา 7 ยังพบว่ามี กมธ.เสียงข้างน้อยที่ขอสงวนความเห็น ได้แก่ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. นายกฤช เอื้อวงศ์ นายนิกร จำนง นายวุฒิสาร ตันไชย และ น.ส.อุดมลักษณ์ บุญสว่าง ซึ่งเป็น กมธ.ในโควตาของรัฐบาล นอกจากนั้น
ในรายงานยังระบุถึงข้อสังเกตของ กมธ.ด้วยว่า 1.ในการกำหนดระยะเวลาออกเสียงนอกราชอาณาจักร ควรเผื่อระยะเวลา เพราะแต่ละประเทศมีองค์ประกอบและปัจจัยแวดล้อมที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการจัดส่งบัตรเลือกตั้งและบัตรออกเสียงประชามติ ที่พบว่าในอดีตมีความล่าช้าจากหลายปัจจัย
2.การประชาสัมพันธ์เพื่อให้รอบคอบ ครบถ้วน โปร่งใส ตรวจสอบได้และเป็นธรรม รวมถึงให้ประชาชนเข้าใจและตระหนักความสำคัญของการออกเสียงประชามติ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรจัดเวทีแสดงความคิดเห็นโดยอิสระเท่าเทียมทั้งผู้เห็นชอบและไม่เห็นชอบ ต้องอำนวยความสะดวกด้านอื่นให้ประชาชนทุกคนเข้าร่วมใช้สิทธิเต็มที่ นอกจากเผยแพร่วัน เวลาและสถานที่ใช้สิทธิเท่านั้น และให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องที่มีการออกเสียงประชามติ,
3.การออกเสียงลงคะแนนด้วยอิเล็กทรอนิกส์ ต้องสร้างระบบให้มีความน่าเชื่อถือ และดำเนินการได้ภายในวันเดียวกัน หรือควบคู่กันเพื่อประหยัดงบประมาณ โดย กกต.ต้องบูรณาการร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และระบบดังกล่าวต้องป้องกันการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 4.การตั้งประเด็นคำถาม ควรมีถ้อยคำชัดเจนเพียงพอให้ผู้มาออกเสียงเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ป้องกันปัญหาการตีความ ทั้งนี้หากคำถามประชามติเป็นคำถามเชิงซ้อน ควรใช้การออกเสียงแบบแยกย่อยคำถามจนครบทุกประโยคเชิงซ้อนด้วย จึงจะถือว่ามีข้อยุติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หากในวันที่ 30 กันยายน ที่ประชุมวุฒิสภา มีมติเห็นชอบตามเสียงข้างมากของ กมธ.ให้ปรับแก้ไขมาตรา 7 ของร่างกฎหมายดังกล่าว โดยให้กลับไปใช้คะแนนประชามติเสียงข้างมาก 2 ชั้น จะเท่ากับว่าเป็นการที่ สว.มีการแก้ไขเพิ่มเติมร่างกฎหมายของ สส.
จากนั้นต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 137 (3) เพื่อให้ที่ประชุม สส.เห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว แต่ถ้าที่ประชุมสภา สส.ไม่เห็นชอบ จะต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วม 2 สภา โดยจะต้องส่งคนนอกที่ไม่ใช่สมาชิกของสภานั้น ๆ มาเป็นองค์ประกอบในจำนวนที่เท่ากัน เพื่อมาร่วมพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงเสนอให้ที่ประชุมทั้ง 2 สภา ถ้าสภาใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบให้ยับยั้งไว้ก่อน
และจะต้องยับยั้งกฎหมายดังกล่าวไว้เป็นเวลา 180 วัน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 138 จึงจะนำกฎหมายดังกล่าวมาพิจารณาใหม่ได้ โดยหากที่ประชุมสภา สส. ยืนยันตามร่างกฎหมายฉบับเดิมที่ผ่านการเห็นชอบของที่ประชุมสภา สส.ก็ให้ถือว่าได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมร่วม 2 สภา