พริษฐ์ วิเคราะห์แก้รัฐธรรมนูญ เสียงนอกสภาชูธงแก้อำนาจ สว.องค์กรอิสระ

itim
คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ
ผู้เขียน : ณัฐวุฒิ กรัณยโสภณ

เกมแก้รัฐธรรมนูญมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ

เมื่อกระบวนการแก้ไขส่อเค้าจะถูกแขวนอย่างน้อย 6 เดือน หลัง สว.แก้ไขร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติของ สส. ให้ใช้เกณฑ์ดับเบิลล็อก 2 ชั้น เป็นเกณฑ์ผ่านประชามติ

“ประชาชาติธุรกิจ” สนทนากับ “พริษฐ์ วัชรสินธุ์” โฆษกพรรคประชาชน และหัวหอกการแก้ไขรัฐธรรมนูญฝ่ายค้าน วิเคราะห์ปรากฏการณ์ “แรงเฉื่อย” ที่เกิดขึ้น ว่ามีบางฝ่ายในรัฐบาลได้ประโยชน์

รธน.ฉบับปราบโกง สู่ฉบับกินได้

พริษฐ์ ตอบคำถามแรกว่าจะทำอย่างไรให้การแก้รัฐธรรมนูญปราบโกง มาสู่รัฐธรรมนูญที่กินได้สำเร็จ ว่า ต้องตั้งเป้าหมายก่อนว่าทำไมเราเห็นถึงความสำคัญของการแก้รัฐธรรมนูญและทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นรัฐธรรมนูญที่ความชอบธรรมทางประชาธิปไตย ถูกร่างโดยคณะกรรมการที่ตั้งโดยคณะรัฐประหาร และกระบวนการประชามติที่รับรองรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้เสรีและเป็นธรรมตามหลักประชาธิปไตยสากล คนที่รณรงค์ไม่เห็นชอบก็ถูกดำเนินคดี

และเรื่องเนื้อหาที่ไปขยายอำนาจของสถาบันทางการเมืองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่สามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือขัดขวางเจตนารมณ์ของประชาชนที่สะท้อนผ่านคูหาเลือกตั้งได้

ดังนั้น จุดยืนของผมและพรรคประชาชน ต้องมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย เพื่อทำอย่างไรให้เรามีรัฐธรรมนูญที่ออกแบบระบบการเมืองที่เสียงของประชาชนมีความหมาย ทำอย่างไรให้เราวางสถาบันทางการเมืองมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย อำนาจและมีที่มาสอดคล้องกัน เพราะที่ผ่านมา มีหลายสถาบันทางการเมืองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนแต่ถูกขยายอำนาจและอาจจะสามารถขัดขวางเจตนารมณ์ของประชาชนได้

ADVERTISMENT

เช่น สว. ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน มาจากการคัดเลือกกันเอง มีที่มาจากประชาชนน้อย แต่อำนาจที่มีกลับมีบทบาทสำคัญ กำหนดทิศทางทางการเมืองได้ เราเห็นถึงอำนาจการขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะแก้ได้ ต้องใช้เสียง 1 ใน 3 ของ สว.หรือ แม้กระทั่งบทบาทการรับรองตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ

องค์กรเหล่านี้ถูกคาดหวังให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นกลางกับทุกฝ่าย แต่เราเห็นถึงการขยายขอบเขตของอำนาจ มีการผูกขาดการนิยามมาตรฐานทางจริยธรรมที่บังคับใช้กับทุกองค์กร และการมีบทบาทหลักในการวินิจฉัยว่าการกระทำใดฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม รวมถึง กลไกถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่หายไปจากรัฐธรรมนูญ 2560

ADVERTISMENT

ออกแบบกลไกประสิทธิภาพรัฐ

ทำให้รัฐมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน เช่น รับประกันเรื่องกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ให้มีอำนาจและงบประมาณ และบุคลากรเพียงพอในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในท้องที่ ไม่จำเป็นต้องรอแก้ปัญหาจากส่วนกลางเท่านั้น

การออกแบบนโยบาย ไปผูกเรื่องนโยบายไว้กับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของ ไปลดความยืดหยุ่นของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในการขับเคลื่อนนโยบาย เพราะต้องอิงกับยุทธศาสตร์ชาติ  แม้เป็นนโยบายที่พรรคการเมืองหาเสียงไว้ตอนเลือกตั้ง และประชาชนเห็นชอบให้ไปขับเคลื่อนก็ตาม

ความโปร่งใส การแก้ปัญหาทุจริต แม้รัฐธรรมนูญชุดนี้ถูกโฆษณาว่าเป็นรัฐธรรมนูญปราบโกง แต่คะแนนของประเทศไทย ตามดัชนีภาพลักษณ์เรื่องการทุจริตระดับนานาชาติ  ก็ถดถอยลงมาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นจังหวะที่ดีที่จะทบทวนว่ารัฐธรรมนูญ จะออกแบบกลไกป้องกันการทุจริตให้รัดกุมขึ้นได้อย่างไร

ตัวอย่างคือ รับประกันสิทธิสำคัญของประชาชนในการแก้ไขปัญหาการทุจริต เช่น สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลรัฐที่จะต้องเปิดเผย โปร่งใส สิทธิในการที่ประชาชนจะได้รับการคุ้มครองความปลอดภัย ความก้าวหน้าทางการงาน เมื่อแจ้งเบาะแสการทุจริต และการทบทวนกระบวนการได้มาซึ่งกรรมการ ป.ป.ช. รวมถึงขอบเขตอำนาจ รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ของ ป.ป.ช.ให้มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาการทุจริต

พริษฐ์ เชื่อว่า ถ้าเราได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มีความชอบธรรมด้านประชาธิปไตยได้แล้วจะได้ 3 ป. 1.ทำให้เสียงของประชาชนมีความหมาย 2.ทำให้รัฐมีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาของประชาชน 3.ทำให้เกิดความโปร่งใส แลป้องกันปัญหาทุจริตได้ดียิ่งขึ้น

ใช้พลังแก้อุปสรรค สว.

แล้วจะฝ่าความจริงว่า สว.และพรรคการเมือง ไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญไปได้อย่างไร “พริษฐ์” กล่าวว่า ต้องเดิน 2 เส้นทางคู่ขนาน คือ ต้องมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด และต้องจัดทำโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง 100% เพื่อคำนึงถึงคนทุกกลุ่ม ทุกความคิด

เส้นทางที่สองคือการแก้รายมาตรา ไม่ได้มาทดแทนการจัดทำฉบับใหม่ เพราะการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องอาศัยเวลา อาจจำเป็นต้องแก้ไขบางมาตราเฉพาะหน้าคู่ขนาน เพื่อแก้ปัญหาบางปัญหาไปได้ก่อน ในระหว่างที่รอจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

แน่นอน 2 เส้นทางจะสำเร็จได้ต้องมี สว.เห็นชอบด้วย 1ใน 3 ดังนั้น มีปัจจัยต้องปลดล็อกให้ได้ และถ้าพูดถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะต้องมีขั้นตอนการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพิ่มหมวด ส.ส.ร. เข้าสู่สภา จะต้องมีเสียง สว.1 ใน 3 เช่นเดียวกับการแก้รายมาตรา

เงื่อนไขเรื่อง สว.เป็นอุปสรรคที่สำคัญ สถิติที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2562 มีการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ 27 ฉบับ มีฉบับเดียวที่ผ่านไปได้คือระบบเลือกตั้ง แต่มีเกือบ 20 ฉบับ ที่ได้เสียงเห็นชอบเกิน 2 ใน 3 ของ สส. แต่ติดเรื่องเงื่อนไข สว.

ดังนั้น ต้องรอดู สว.ชุดปัจจุบัน 200 คน จะมีท่าทีเหมือนหรือต่างกับ สว.ชุดเก่า คงจะได้พิสูจน์กันเร็วๆ นี้ เพราะมีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ รายมาตรา หลายฉบับที่ถูกจ่อคิวในการพิจารณา ซึ่งคาดว่าจะมีการเปิดประชุมรัฐสภาปลายปี 2567

แต่ผมก็มีความเชื่อว่า สิ่งที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการทำให้ สว.เห็นชอบด้วยคือ เสียงของประชาชน ถ้าย้อนไปในสภาชุดที่แล้ว แม้ สว.ขณะนั้นได้รับการแต่งตั้งจาก คสช. เราจะเห็นว่าเคยมีกรณีที่ เสนอยกเลิกมาตรา 272 ให้ สว.ร่วมเลือกนายกฯ เคยมีการยื่นให้รัฐสภาพิจารณา 3 ครั้ง

เราจะเห็นว่า สว.ที่ลงคะแนนเห็นชอบมีความแตกต่างในแต่ละครั้ง ในปี 2563 มี สว.เห็นชอบประมาณ 50 คน แต่พอร่างที่มีเนื้อหาเดียวกันเข้าสู่รัฐสภาปี 2564 และ ปี 2565 กลับมี สว.เห็นชอบกลับลดลงมา 20 กว่าคน

สำหรับผมคือความตื่นตัวของประชาชน เพราะในปี 2563  ที่ได้ 50 กว่าเสียงของ สว. เพราะความตื่นตัวของภาคประชาชนต่อการแก้รัฐธรรมนูญมีสูงมาก เพราะตอนนั้น iLaw รวบรวมรายชื่อประชาชนเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ จำนวนหลักหมื่น อาจจะถึงแสนคน

ดังนั้น พอความตื่นตัวสูงก็กระทบท่าทีต่อรัฐสภา อะไรที่จะทำให้ สว.ชุดปัจจุบันเห็นชอบกับการแก้รัฐธรรมนูญ ก็คอความตื่นตัวของประชาชน

อย่าประเมินประชาชนต่ำ

เราอย่าประเมินความสนใจเรื่องรัฐธรรมนูญของประชาชนต่ำเกินไป เพราะเราจะเห็นว่าที่ผ่านมามีหลายครั้งที่ประชาชนตื่นตัวเรื่องรัฐธรรมนูญที่สูง เช่น ตอนเลือกตั้งเราเห็นแทบทุกพรรคการเมืองมาแสดงจุดยืนว่าเห็นถึงปัญหาของรัฐธรรมนูญ 60 หลายพรรคแสดงจุดยืนว่าต้องมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

เป็นหลักฐานชิ้นหนึ่งว่าประชาชนให้ความสำคัญกับเรื่องรัฐธรรมนูญถึงทำให้พรรคการเมืองมีจุดยืนแบบนี้ หรือ แม้กระทั่งผ่านการเลือกตั้งแล้ว เราเห็นว่ากลุ่ม con for all มีการล่ารายชื่อเพื่อเสนอคำถามประชามติ ก็จะเห็นว่าได้รายชื่อรวดเร็วมาก แม้จะไปติดที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) บอกว่าล่ารายชื่อออนไลน์ไม่ได้ ต้องใช้กระดาษ

ฟังจากข้อสังเกตจากภาคประชาชนว่าเขาเห็นความตืนตัวของประชาชน ปัจเจกบุคคลที่ไปล่ารายชื่อจากคนในที่ทำงานตัวเอง หรือ ครอบครัวตัวเองด้วย ดังนั้น ในมุมหนึ่งเมื่อมีจังหวะมี การพูดคุยเรื่องรัฐธรรมนูญเราเห็นเสียงของประชาชนที่ดังขึ้น เพียงแต่ความตื่นตัวอาจมีขึ้นมีลงบ้าง

และความตื่นตัวจะสูง เมื่อไหร่ก็ตามที่ประชาชนเห็นความผิดปกติของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่แปรผันมาเป้นปรากฏการณ์ทางการเมือง เช่น สว.ร่วมเลือกนายกฯ แล้วมีส่วนที่ทำให้พรรคการเมืองที่รวบรวมเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา ไม่สามารถเป็นรัฐบาล มีหัวหน้าพรรคเป็นนายกฯ ได้ ประชาชนก็เห็นว่าเป็นผลลัพธ์จากรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจ สว.เลือกนายกฯ

พอเรื่องการยุบพรรค คนก็เริ่มตื่นตัวมากขึ้นว่า อำนาจการยุบพรรคเป็นเรื่องกฎหมายพรรคการเมืองที่รองมาจากรัฐธรรมนูญ

ผมเชื่อว่าประชาชนเห็นถึงปัญหาของรัฐธรรมนูญมาตลอด เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มีจังหวะการเลือกตั้งหรือมีการล่ารายชื่อเราก็จะเห็นความสนใจนี้ปรากฏสู่สาธารณะ และคิดว่าประชาชนเห็นถึงผลลัพธ์ที่ไม่ปกติ เพียงแต่ทำอย่างไรให้เราแปลความรู้สึกไม่พอใจนี้ ให้มาเป็นพลังในการขับเคลื่อนว่าถ้าจะแก้ปัญหาที่ต้นตอให้มาแก้ที่ตัวรัฐธรรมนูญ

ต้องเปิดบทสนทนาแก้ รธน.

ถามว่า จะแคมเปญแค่ไหนสร้างกระแสเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญกลับมาอีกครั้ง “พริษฐ์” กล่าวว่า 1 ปีที่ผ่านมา บทสนทนาเรื่องรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องกระบวนการค่อนข้างเยอะ ซึ่งต้องหาทางออก จึงทำให้เรื่องรัฐธรรมนูญดูห่างไกลจากประชาชนมากขึ้น จะประชามติต้องทำกี่ครั้ง

แต่ถ้าเราเปิดสนทนาเรื่องเนื้อหาเราจะเป็นสิ่งที่เชื่อมกับปัญหาประชาชนมากยิ่งขึ้น เช่น คนรู้สึกว่าทนไม่ได้กับการทุจริต ถ้าเรามาคุยกันว่าจะแก้รัฐธรรมนูญกันอย่างไร หรือรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะมีเนื้อหาอย่างไรที่แก้ปัญหาทุจริตได้ดียิ่งขึ้น ก็จะทำให้ประชาชนเห็นความเชื่อมโยงกับปัญหาที่เขาเจอเฉพาะหน้า

หรือ ประชาชนในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง เช่น โครงการที่กระทบสิ่งแวดล้อม การสร้างโรงไฟฟ้าที่กระทบต่อสุภาพของเขา ก็จะเห็นว่ามีสิทธิคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแค่ไหน

หรือ เมื่อไหร่ก็ตามประชาชนเห็นว่าพรรคการเมือง  สส. ที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่ารัฐบาลหรือ ฝ่ายค้าน ดูเหมือนจะมีฉันทามติเรื่องกฎหมายหรือเรื่องนโยบายเรื่องใดเรื่องหนึ่ง กลับถูกขัดขวางโดย สว.หรือองค์กรอิสระก็จะทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเรามีระบบการเมืองที่เปิดช่องให้องค์กรต่างๆ มาขัดขวางเจตนารมณ์ของประชาชนได้

แก้เศรษฐกิจ ทำคู่ รัฐธรรมนูญได้

ทว่า คนกลุ่มหนึ่งรู้สึกเรื่องปัญหาเศรษฐกิจมากกว่า แล้วรัฐธรรมนูญสำคัญต่อประชาชนอย่างไร พริษฐ์ ตอบว่า

ไม่เคยมีใครบอกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไปทดแทนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ หรือ ชะลอการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมาแก้รัฐธรรมนูญ … ไม่ใช่ แต่เรามองว่าเดินคู่ขนานกันได้ เพราะท้ายที่สุดรัฐบาล หรือ พรรคการเมืองก็ต้องจัดสรรบุคลากรเพียงพอ เพื่อแก้ปั้ญหาทุกอย่างคู่ขนานกันได้ ไม่ปฏิเสธว่าเราเจอปัญหาเศรษฐกิจ ภัยพิบัติ หรือ น้ำท่วม แต่คนที่รณรงค์ไม่เคยบอกให้หยุดทำเรื่องนี้

และเราเชื่อด้วยว่า ถ้าสามารถแก้ปัญหารัฐธรรมนูญได้ก็จะทำให้รัฐบาลไม่ว่ายุคไหนก็ตาม มีประสิทธิภาพ และมีสมาธิมากขึ้น มีเสถียรภาพมากขึ้น ในการแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ และปัญหาเฉพาะหน้าของประชาชน

มันเป็นเส้นทางคู่ขนานที่สัมพันธ์และสนับสนุนกันและกัน ถ้าเราแก้ปัญหาระบบการเมืองได้ ทำให้ระบบการเมืองมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตอบสนองความต้องการของประชาชนเร็วขึ้น มีความโปร่งใสมากขึ้น ทำให้รัฐแก้ไขปัญหาประชาชนได้ดีขึ้นเช่นกัน

scenario เลวร้ายที่สุด

พริษฐ์ กล่าวว่า ฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุดคือการเข้าสู่การเลือกตั้ง 2570 โดยไม่ได้แก้รัฐธรรมนูญสักมาตราเลย โอกาสที่จะเป็นจริงแค่ไหนก็มีความเสี่ยง เรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีโอกาสน้อยมากที่จะทันการเลือกตั้งปี 2570 ซึ่งเป็นความถดถอยอย่างมากที่รัฐบาลตั้งไว้

ผมมีความกังวลว่าว่าเราจะเผชิญแรงเฉี่อยในการแก้รัฐธรรมนูญ มี 2 ปรากฎการณ์ที่เห็นในซีกรัฐบาล คือ มีบางฝ่ายที่อาจจะเริ่มหมดแรงจูงใจในการแก้ไขปัญหาเรื่องรัฐธรรมนูญ เพราะว่าอาจจะมีบางฝ่ายที่อาจจะมองว่าบทเฉพาะกาลผ่านไปแล้ว  อาจจะยังไม่ได้เห็นถึงความเร่งด่วนเท่ากับที่พรรคประชาชนมอง ในการแก้ไขปัญหาอื่น ของรัฐธรรมนูญ 2560

และจะมีบางฝ่ายในรัฐบาลที่อาจจะมีแรงจูงใจเพิ่มขึ้นในการไม่แก้รัฐธรรมนูญ เพราะอาจจะรู้สึกว่าเวลานี้ได้ประ โยชน์จากรัฐธรรมนูญ มากกว่าที่เคยได้มาก่อนหน้านี้

 เพราะหัวใจสำคัญของรัฐธรรมนูญ 2560 คือวุฒิสภา อำนาจหลายอย่าง ถูกขยายที่ สว.ทั้งอำนาจเรื่องการบล็อกการแก้รัฐธรรมนูญ ทั้งอำนาจในการรับรองตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ

ดังนั้นเนี่ยถ้าฝ่ายไหนรู้สึกว่าตัวเองมีผู้สนับสนุนอยู่ใน สว.ก็ย่อมอาจจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นมีประโยชน์ที่ได้จากรัฐธรรมนูญ 2560 มากขึ้น อันนี้ก็เลยเป็นเป็นสภาพทางการเมืองในฐานะฝ่ายค้านมองเข้าไปไม่มีความรู้กังวล

ประเมินอุบัติเหตุการเมือง

สำหรับผม เราต้องพยายามวางโรดแมปรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เดินหน้าต่อไปได้แม้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับ ส.ส.ร.ของพรรคประชาชนที่เสนอเข้าไป เราต้องการให้ ส.ส.ร.ทำหน้าที่ต่อไปได้แม้รัฐบาลเปลี่ยน

แต่ 1 ปีที่ผ่านมารัฐบาลมีการขยับเรื่องรัฐธรรมนูญประกอบด้วยหลายขั้นตอนที่บางส่วนไม่มีความจำเป็น หรือ บางส่วนใช้เวลานานกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่วง

ช่วงที่ 1 สิงหาคม ถึง ธันวาคม 2566 ใช้เวลา 4 เดือน ในการตั้งคณะกรรมการศึกษาการทำประชามติ ซึ่งผลการศึกษาผมไม่ได้เห็นว่ามีประเด็นที่ใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน

ช่วงที่ 2 มกราคม ถึงเมษายน 2567 ใช้เวลาพยายามตีเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อลดเวลาการทำประชามติจาก 3 ครั้งเหลือ 2 ครั้ง ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ชัดเจนขึ้น ซึ่งผมคิดว่าเป็นความตั้งใจที่ดี แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัย

และทำไมต้องรอถึงเดือนมกราคม 2567 ถึงจะเริ่มกระบวนการนี้ ทำไมไม่เริ่มตั้งเดือนสิงหาคม 2566 คู่ขนานกับคณะกรรมการศึกษาประชามติ ก็จะได้คำตอบเร็วขึ้น และในที่สุดก็ไม่ได้อะไรกลับมา

ช่วงที่ 3 เมษายน ถึง สิงหาคม 2567 คือใช้เวลากับการแก้ไข ร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ซึ่งเข้าสภาเดือนมิถุนายน คำถามที่ตามมาคือ ร่าง พ.ร.บ.ประชามติของพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล เข้าสภาไปตั้งแต่เดือนมกราคม แต่ต้องรอถึงเดือนมิถุนายน ร่าง พ.ร.บ.ประชามติของ ครม.จึงจะตามมา  จนทำให้ถึงวันนี้ ร่าง พ.ร.บ.ประชามติยังแก้ไขไม่เสร็จ

ฉากการเมือง 70

แล้วถ้าการเลือกตั้งในปี 2570 ยังใช้รัฐธรรมนูญปัจจุบันอยู่ ฉากการเมืองจะเป็นอย่างไร “พริษฐ์” กล่าวว่า ปัญหาเดิมก็ยังมีอยู่ แน่นอนอาจมีบางประการที่มันเชื่อมกับบทเฉพาะกาลที่หายไป เช่น  สว. ที่มาจากการแต่งตั้งร่วมเลือกนายกฯ ดังนั้น ตราบใดที่พรรคการเมืองใดสามารถรวบเสียงได้เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ ก็จะสามารถตั้งรัฐบาลได้ ไม่เจอปัญหาเหมือนกับที่พรรคก้าวไกล และคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เผชิญในรอบที่แล้ว

แต่ปัญหาที่เป็นผลลัพธ์กับรัฐธรรมนูญ 60 ก็ยังคง เช่น เสียงของประชาชน เรื่องขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ที่ขยายขึ้นมา  เรื่องของประสิทธิภาพของรัฐบาล ยังมีกลไกและยุทธศาสตร์ฉบับ คสช. ที่ไปเชื่อมโยงกับระบบราชการและการทำนโยบาย รัฐก็จะมีความคล่องตัวน้อยลงในการแก้ปัญหากับประชาชนแล้ว ความโปร่งใสผมคิดว่าก็ยังคงมีอยู่ถ้าเรามองว่าปัจจุบัน

ทว่ารัฐธรรมนูญ 2560 ก็ทำให้พรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล จะเป็นประโยชน์กับพรรคประชาชนหรือไม่ “พริษฐ์” กล่าวว่า เรื่องการจัดตั้งรัฐบาล รอบนี้ปัญหาที่หายไปเป็น สว.ที่มาจากการ แต่งตั้งเลือกนายกฯ ดังนั้นเนี่ยมันเลยเป็นสมการที่เปรียบง่ายขึ้น

โดยหลักถ้าพรรคไหนได้เกิน 250 เสียง ก็เป็นรัฐบาลได้ชัดเจนเพราะว่าเกินกึ่งหนึ่ง ถ้าไม่มีพรรคไหนได้เกิน 250 เสียง ก็จะเป็นสิทธิของพรรคการเมืองอันดับหนึ่ง ที่จะมีสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลก่อน ถ้ารวบรวมเสียงเกิน 250 ก็เป็นรัฐบาลได้

แต่ถ้ารวบรวมไม่ได้มันก็อาจจะเป็นสิทธิของพรรคอันดับสอง ที่จะพยายามจัดตั้งรัฐบาลแข่ง  พอไม่มีบทเฉพาะกาลมาตรา 272 สว.ร่วมเลือกนายกฯ  สมการในการตั้งรัฐบาลมันก็จะเป็นไปตามครรลองของ ประชาธิปไตยแบบรัฐสภาสากล

หนุนพรรคขวากลางเปิดตัว

ขณะเดียวกัน ในบทสนทนาการเมืองมีการพูดถึงความพยายามแก้โจทย์ ระหว่างโจทย์พรรคเพื่อไทย กับ โจทย์พรรคประชาชน ที่ไม่มีความพอดีทางการเมือง จึงจำเป็นต้อง “เซ็ตอัพ” พรรคขวากลางขึ้นมา

ถาม “พริษฐ์” ว่าพรรคขวากลางจะเวิร์คไหมกับการเมืองไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ เขาตอบว่า ในมุมของพรรคประชาชน  ยิ่งมีพรรคการเมืองเยอะ ยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ระบบการเมืองเข้มแข็งขึ้น เพราะทำให้ประชาชนตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้น

ถ้าเกิดว่ามีประชาชนกลุ่มไหนรู้สึกว่า พรรคการเมืองที่มีอยู่ไม่ตอบโจทย์เขาจริงๆ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีคนบางกลุ่มที่มองว่าอาจจะมีช่องที่สามารถตั้งพรรคการเมืองและตอบสนองกลุ่มคนดังกล่าวได้ ผมคิดว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่ไม่ดีที่เราจะมีพรรคการเมืองที่หลากหลาย

แต่ถ้าพูดในมุมพรรคประชาชน แม้ว่ารอบที่แล้วอาจจะได้รับความวางใจอันดับหนึ่ง แต่เรากำลังแข่งกับตัวเอง แล้วเรารู้ว่าถ้าเราอยากจะเป็นรัฐบาลเราก็ต้องหาวิธีการในการ ทำให้ทั้งประชาชนที่เคยไว้วางใจเรายังคงไว้วางใจอยู่ และสามารถทำให้ประชาชนบางกลุ่มที่ย้อนไปในปี 66 อาจจะยังไม่ได้ให้ความไว้วางใจกับเราหรืออาจจะให้ความไว้วางใจกับเราครึ่งใจ คือกาให้เราหนึ่งใบ ยังไม่กาให้สองใบ ทำยังไงให้เขาไว้วางใจเราเต็มใบ เต็มใจมากขึ้น ไม่ใช่แค่ครึ่งใจ หน้าที่หลักของเราการแข่งกับตัวเอง

ประชาชน ต้องการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ถามแย้งว่า แต่การสุดทางแบบพรรคประชาชนอาจไม่ตอบโจทย์หรือเปล่า พริษฐ์ กล่าวว่า ผมไม่แน่ใจ จะนิยามว่าพรรคประชาชนสุดทาง คนที่ต้องการจะปฏิเสธการปฏิรูป มักจะพยายามตีตราพรรคที่อยากจะผลักดันการปฏิรูปว่าเป็นพรรคสุดโต่ง เพื่อพยายามตีกรอบให้พรรคนี้ไม่สามารถขยายมาเป็นพรรคหลักในระบบการเมืองได้

ผมยืนยันว่าสิ่งที่พรรคประชาชนนำเสนอ แม้ว่าหลายเรื่องอาจจะเป็นเรื่องที่เราเห็นว่าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่มันยึดอยู่บนความพยายามในการทำให้ ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับโลกได้

ยึดอยู่บนความพยายามจะทำให้ประเทศไทยมีความเป็นธรรม มีสังคมที่เหลื่อมล้ำน้อยลง ผมไม่ได้คิดว่าความฝันของเราเป็นอะไรที่ที่สุดโต่ง

แต่แน่นอนถ้าเกิดว่ามันมีปัญหาอะไรที่มันถูกหมักหมมเรื้อรังมายาวนาน ถ้าจะให้มีผลลัพธ์ที่แก้ปัญหาได้ ก็อาจจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ผมคิดว่า คนละเรื่องกันระหว่างการบอกว่าสิ่งที่เราเสนอนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มากน้อยแค่ไหน กับความสามารถของเราในการเชิญชวนประชาชนในวงกว้างให้มาเห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

ผมไม่ปฏิเสธถ้าจะบอกว่าหลายอย่างที่พรรคก้าวไกลเสนอ กับพรรคประชาชนเสนอ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ผมไม่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการ ผมเชื่อว่าแม้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แต่ละเรื่องเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าประชาชนส่วนใหญ่ส่วนใหญ่ของประเทศอยากให้เกิดขึ้นจริง

ยกตัวอย่างเช่น การกระจายอำนาจ สิ่งที่เราเสนอ แน่นอนมันอาจจะเป็นการเปลี่ยนครั้งใหญ่จากระบบรัฐราชการรวมศูนย์ที่เราเสนอเรื่องการทำให้ผู้บริหารสูงสุดของแต่ละจังหวัดมาจากการเลือกตั้ง แทนที่ระบบปัจจุบันที่ผู้บริหารสูงสุดของจังหวัด คือผู้ว่าราชการจังหวัดที่ตั้งโดยส่วนกลางทั้งหมด ถามว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไหม ใหญ่แน่นอน แต่ผมก็มีความเชื่อว่าการเป็นครั้งใหญ่แบบนี้ก็ยังสามารถได้รับความเห็นชอบจากประชาชนในวงกว้างได้เช่นกัน

หรือเรื่องการปฏิรูปการศึกษา ปัจจุบันทักษะของเด็ก ถ้าประเมินจากผลสอบวัดผล PISA  ตกลงอย่างต่อเนื่องต่ำสุดในรอบ 20 ปี ต้องการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไหม..ต้องการแน่นอน ผมก็เชื่อว่าการครั้งใหญ่นั่นก็เป็นสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเช่นกัน

ดังนั้น ขนาดการเปลี่ยนแปลงที่เราเสนอ กับความสามารถของเราในการได้แนวร่วมจากประชาชน ไม่ใช่เป็นความสัมพันธ์เชิงลบ ไม่ใช่ว่ายิ่งเปลี่ยนแปลงใหญ่จะยิ่งทำให้เราถูกมองว่าเป็นพรรคสุดทางแล้วได้แนวร่วมน้อย

ผมคิดว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หากพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อประเทศก็สามารถเดินได้แนวร่วมจนกว้างและขยายแนวร่วมเพิ่มได้เช่นกัน

ไม่ได้โฟกัสแค่ ม.112

ถามว่า บทเรียนเรื่องการชูนโยบายแก้ ม.112 ทำให้จะทำให้ได้เสียงลดลง “พริษฐ์” มองต่าง ประชาชนที่ลงคะแนนให้กับพรรคก้าวไกล 14 ล้านคน ไม่ได้โฟกัสแค่นโยบายไหนนโยบายหนึ่งเป็นการเฉพาะแต่เป็นการให้ความเห็นชอบต่อ เป้าหมายภาพรวมที่พรรคต้องการจะขับเคลื่อนแพ็คเกจนโยบายหลายแพคเกจ

ที่เราได้ 14 ล้านเสียง ในวันนั้น ก็เพราะเราเสนอการปฏิรูปประเทศหรือการเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกระจายอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปฏิรูปการศึกษาหรือแม้กระทั่งการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองซึ่งรวมถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยเช่นกัน

ผมรู้สึกว่า เป็นเพราะเราเสนอเป็นครั้งใหญ่นั่นแหละ และประชาชนเห็นว่าประเทศนี้ต้องการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เลยทำให้เราได้รับความไว้วางใจเป็นอันดับหนึ่ง

โจทย์ในการขยายฐานตอนนี้ ไม่คิดว่ามันเป็นการลดทอนว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ควรจะใหญ่ แต่เป็นการทำยังไงให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าเราในฐานะพรรคประชาชน สามารถเป็นกลุ่มบุคคลที่จะเข้าไปขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้จริง