
พล.อ.ประวิตรกำชับลูกพรรคพลังประชารัฐร่วมแรงร่วมใจ ทำให้รัฐบาลยกเลิก MOU 44 ให้ได้ ชี้เพิ่งรู้ว่ามีปัญหากฎหมาย
นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐกล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ให้นโยบายกำชับกรรมการบริหารพรรคและ สส.พรรคทุกคน ให้ร่วมแรงร่วมใจกันดำเนินนโยบายยกเลิก MOU 44 ให้ได้ เพื่อปกป้องเขตอธิปไตยของไทยทางทะเลอ่าวไทยพื้นที่ 26,000 ตารางกิโลเมตร (16 ล้านไร่) และผลประโยชน์ทรัพยากรพลังงานธรรมชาติ มูลค่า 20 ล้านล้านบาทของไทยในทะเลอ่าวไทยที่เป็นของไทยทั้งหมดตามกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ
“แม้ พล.อ.ประวิตรจะเคยเป็นประธานคณะเจรจาตามกรอบ MOU 44 แต่ขณะนั้นไม่ทราบมาก่อนว่า MOU 44 จะมีปัญหาทางกฎหมาย จนกระทั่งในเดือนมิถุนายน 67 ผมได้เรียนให้ทราบว่าใช้สิทธิในฐานะประชาชนยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพราะพบว่า MOU 44 มีปัญหาสำคัญ” นายไพบูลย์กล่าว
นายไพบูลย์กล่าวว่า สำหรับปัญหาทางกฏหมายมีอย่างน้อย 2 ประการคือ 1.การที่ฝ่ายกัมพูชาลากเส้นไหล่ทวีปของประเทศกัมพูชา เริ่มจากหลักหมุดที่ 73 จุดแบ่งดินแดนทางบกของไทย-กัมพูชา ลากเส้นไหล่ทวีปตัดตรงมาทางทิศตะวันตกผ่านกลางเกาะกูดที่เป็นดินแดนของไทย ตัดเส้นตรงเลยเกาะกูด ไปทางอ่าวไทยตอนใน การกระทำของฝ่ายกัมพูชาเป็นการลากเส้นไหล่ทวีปที่ผิดกฎหมายทะเลระหว่างประเทศอย่างสิ้นเชิง
จึงทำให้เส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ลากต่อลงมาทางทิศใต้ เป็นเส้นไหล่ทวีปที่ผิดกฏหมายทะเลระหว่างประเทศไปด้วย กินพื้นที่อธิปไตยทางทะเลของไทยไป 26,000 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 16 ล้านไร่ แต่ MOU 2544 ไปรับรองเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาดังกล่าวเป็นเส้นถูกต้องที่นำใช้มาอ้างสิทธิกับไทยว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน เพื่อเจรจาแบ่งทรัพยากรทางทะเลของไทยให้ประเทศกัมพูชาฝ่ายละ 50 เปอร์เซ็นต์ ตามที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แสดงวิสัยทัศน์ในงานเดินเนอร์ทอล์ก
“ทักษิณ ชินวัตร โชว์วิชั่นเศรษฐกิจประเทศไทย” เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2567 มีความบางตอนว่า “อีกอันหนึ่ง ที่อดพูดไม่ได้ เรื่องของเขตทับซ้อนทางทะเล ความจริงเขตทับซ้อนทางทะเลนี่ไม่ใช่เป็นเรื่องเส้นเขตแดนหลัก ก็คือว่าประเทศเราอยู่ตรงนี้มีไหล่ทวีปอยู่ตรงนี้ลากไป 200 ไมล์ทะเล อันนี้ตามหลักกฎหมายสากลประเทศเพื่อนบ้าน สมมุติกัมพูชาไหล่ทวีปอยู่ตรงนู้นลากมา 200 ไมล์ทะเล เกยกันตรงไหนเราถือว่าเป็นเขตทับซ้อน เขตทับซ้อนตรงนั้นถ้ามีทรัพยากรอยู่
ก็ถือว่าแบ่งคนละ 50“ ดังนั้น หากรัฐบาลไปดำเนินเจรจาตาม MOU 2544 แบ่งผลประโยชน์พลังงานธรรมชาติทางทะเลให้ฝ่ายกัมพูชา 50 เปอร์เซ็นต์ตามที่นายทักษิณชี้แนะรัฐบาลไว้ อาจเข้าข่ายกระทำผิดทั้งกฎหมายทะเลระหว่างประเทศและกฎหมายภายในประเทศ เพราะเป็นการฝ่าฝืนพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปของราชอาณาจักรไทย
นายไพบูลย์กล่าวว่า ประการที่ 2 พบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายว่า MOU 44 มีสถานะเป็นหนังสือสัญญา มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตอำนาจแห่งรัฐ ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ตามบรรทัดฐานคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 11/2542 คำวินิจฉัยที่ 33/2543 และคำวินิจฉัยที่ 6-7/2551 เมื่อ MOU 44 มีสถานะเป็นหนังสือสัญญาจึงต้องได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญปี 2540 มาตรา 224, ปี 2550 มาตรา 190 และ ปี 2560 มาตรา 178
แต่ปรากฏว่า MOU 44 ตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปัจจุบันไม่มีการเสนอให้รัฐสภาเห็นชอบ MOU 44 จึงเป็นหนังสือสัญญาที่ทำขึ้นโดยไม่ได้ขอความเห็นชอบจากรัฐสภาไทย มีผลให้ MOU เป็นบทบัญญัติใดหรือการกระทำใดที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับไม่ได้ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 5 และมีผลให้ MOU 44 ตกเป็นโมฆะทั้งฉบับ ตั้งแต่เริ่มแรกและมีผลในทางกฎหมาย ไม่ผูกพันรัฐภาคีทั้งสอง ตามหลักการเรื่องความไม่สมบูรณ์แห่งสนธิสัญญา ซึ่งบัญญัติไว้ในอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969
“ดังนั้น เมื่อ MOU 44 มีสถานะเป็นหนังสือสัญญาที่ทำขึ้นโดยขัดรัฐธรรมนูญ ตกเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้ การที่รัฐบาลปัจจุบันหากนำ MOU 44 ไปดำเนินการแบ่งทรัพยากรพลังงานธรรมชาติทางทะเลให้กับกัมพูชาต่อไป ทั้งที่รู้หรือควรรู้ว่าอาจจะขัดรัฐธรรมนูญ มีข้อควรระวังว่า อาจถูกฟ้องไปว่าเข้าข่ายกระทำการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ“ นายไพบูลย์ระบุ