พลังประชารัฐ ย้ำ เหตุผลต้องเลิกเอ็มโอยู 44 ทำไทยเสียเปรียบเจรจาพลังงาน

พลังประชารัฐตั้งโต๊ะแถลง บี้รัฐบาลเลิกเอ็มโอยู 44 สนธิรัตน์ชี้ แม้ไม่เสียเกาะกูด แต่ทำไทยเสียเปรียบการเจรจาพลังงาน 

ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แถลงว่า พรรคพลังประชารัฐประกาศจุดยืนสนับสนุนการเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์บนพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ เราไม่ได้ขัดขวางการที่จะเจรจาผลประโยชน์บนพื้นที่ทับซ้อน ตนทราบถึงความจำเป็นที่ประเทศของเราต้องมีแหล่งพลังงานมารองรับความมั่นคงในอนาคต

ประเด็นที่สอง เรายืนยันว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทยแน่นอน เราไม่ได้มีปัญหาเรื่องเกาะกูด เราไม่ได้เสียเกาะกูด แต่อาณาเขตทางทะเลรอบเกาะกูดได้ถูกละเมิดบนหลักกฎหมายสากลจากการลากเส้นอาณาเขตทางทะเล กินพื้นที่อาณาเขตทางทะเลของเกาะกูดผิดหลักกฎหมายสากลเจนีวา 1982 หรือ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล ค.ศ. 1982

และเป็นจุดเริ่มของการเกิดพื้นที่ทับซ้อนที่เป็นข้อโต้แย้งในการเจรจา เป็นการกลัดกระดุมเม็ดแรกที่ผิด เป็นอุปสรรคในการบรรลุของตกลงและยอมรับของทั้งสองฝ่าย เมื่อตั้งต้นผิด จะเป็นการแบ่งบันผลประโยชน์ที่ไม่ชอบและไม่เป็นธรรม

นายสนธิรัตน์กล่าวว่า และในประเด็นที่สาม พลังประชารัฐเสนอให้ยกเลิกเอ็มโอยู 44 เพราะเป็นอุปสรรคต่อการเจรจาที่จะบรรลุข้อตกลงเพื่อความมั่นคงทางพลังงาน ทั้งนี้ เพราะเอ็มโอยู 44 มีปัญหาพื้นที่ทับซ้อนมีขนาดใหญ่เกินจริง ที่ไม่ได้อยู่บนหลักเจรจาอาณาเขตทางทะเลด้วยกฎหมายเจนีวา 1982

ดังนั้น การเจรจาบนเส้นอาณาเขตที่ไม่เป็นไปตามข้อตกลงบนหลักกฎหมายสากลดังกล่าว หากมีข้อยุติและเกิดการลงนามระหว่างสองประเทศ จะมีผลระยะสั้นคือ จะทำให้ประเทศเสียเปรียบการแบ่งปันผลประโยชน์ด้านพลังงาน ในพื้นที่อันอาจเป็นอาณาเขตของไทย ในระยะยาว จะเป็นหลักฐานทางการยอมรับในประวัติศาสตร์ และหากมีข้อพิพาทในอนาคตก็จะสุ่มเสี่ยงต่อการเสียพื้นที่อาณาเขตทางทะเลที่ไม่อาจแก้ไขได้อีก นอกจากนั้น เอ็มโอยู 44 พบความเร่งรีบในการดำเนินการ พบข้อบกพร่องของเอกสารสำคัญแนบท้าย

ADVERTISMENT

นายสนธิรัตน์กล่าวอีกว่า ยืนยันว่าการยกเลิกเอ็มโอยูสามารถทำโดยฝ่ายเดียวได้ โดยไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องทั้งสองฝ่าย มีวิธีการทำได้ ผ่านการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ซึ่งตามข้อมูลที่พรรคมีนั้น เชื่อว่าสามารถยกเลิกได้

ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ที่ปรึกษาศูนย์นโยบายและวิชาการพรรคพลังประชารัฐกล่าวว่า ขอตอบนายกฯว่า เอ็มโอยู 44 ทำให้ไทยเสียเปรียบ และเป็นบันไดนำไปสู่การเสียดินแดนจากความตกลงนี้ โดยพรรคพลังประชารัฐตรวจพบว่า รัฐบาลให้สิทธิพิเศษในการเจรจากับกัมพูชาเหนือกว่าประเทศอื่นในการแบ่งเขตไหล่ทวีป ไม่ว่าจะเป็น เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย พม่า และอินเดีย ล้วนต้องปฏิบัติตามกฎหมายทะเลสากล เหตุใดกัมพูชาเป็นคู่เจรจาที่ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายทะเลสากล

ADVERTISMENT

ที่สำคัญคือ ขัดกับวรรคท้ายของพระบรมราชโองการที่ระบุว่า การกำหนดไหล่ทวีปกับประเทศใกล้เคียงให้ตกลงกันโดยยึดถือบทบัญญัติอนุสัญญาเจนีวา 1958 2.เอ็มโอยู 44 ลดสถานะของเส้นเขตแดนตามประกาศพระบรมราชโองการที่ทำตามกฎหมายสากล ให้มีค่าเท่ากับเส้นที่ลากเส้นเขตแดนที่ไม่มีกฎหมายสากลรองรับ

กินพื้นที่พระราชอาณาเขตของราชอาณาจักรไทยไปถึง 26,000 ตร.กม. เอ็มโอยู 44 ทำให้ไทยที่ทำตามกฎหมายสากลกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะอีกฝ่ายทำนอกกฎหมายสากลได้ และเรื่องการไม่ปฏิบัติตามกฏหมายสากลของกัมพูชานี้เป็นที่ทราบดีในวงวิชาการ กระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพ

ม.ล.กรกสิวัฒน์กล่าวว่า 3.การลากเส้นเขตแดนทางทะเลเกินสิทธิของกัมพูชา ทับน่านน้ำภายในของจังหวัดตราด ทับทะเลอาณาเขตชิดเกาะกูด และทับเขตเศรษฐกิจจำเพาะกลางอ่าวไทยใกล้อ่าวตัว ดังปรากฏตามแผนที่แนบท้ายเอ็มโอยู 44 เท่ากับรัฐบาลไทยรับรู้ว่าทะเลตราดและทะเลเกาะกูดอยู่ในเขตของฝ่ายกัมพูชา และถูกนำเข้ามาอยู่ในกรอบการเจรจา ไทยจึงเป็นฝ่ายเสียเปรียบตั้งแต่ยังไม่เริ่มเจรจา

4.รัฐบาลอธิบายว่า เอ็มโอยู 44 ไม่ปรากฏข้อความไทยยอมรับเส้นของกัมพูชา แต่เส้นดังกล่าวไปปรากฏในแผนที่แนบท้าย แม้ไม่ได้เขียนตรง ๆ ว่ายอมรับ แต่แผนที่คือเอกสารราชการที่แสดงการรับรู้รับทราบ ว่าเส้นของกัมพูชาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย เพราะไม่เคยปรากฏบนเอกสารราชการไทยมาก่อนปี 44 เลย การรับรู้เส้นเขตแดนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในเอกสารราชการไทยก็ทำให้ฝ่ายกัมพูชาได้ประโยชน์ ถือว่าทำให้ไทยเสียหาย

5.เทียบกรณีไทย-มาเลเซีย พบว่ากรณีกัมพูชามีการดำเนินการก็เร่งรีบผิดปกติโดยใช้เวลาเจรจาเพียง 44 วัน จนระบุเส้นละติจูดผิด โดยเขียน 9E 10E 11E ที่ถูกต้องเขียน 9N 10N 11N เทียบกรณีมาเลเซียใช้เวลา 7 ปี จึงเกิดเอ็มโอยูพื้นที่ทับซ้อนไทยกัมพูชาขนาดใหญ่โตกว่า 4  เท่า วิธีดำเนินการก็แตกต่าง เทียบกับกรณีไทย-มาเลเซีย จะตั้งคณะเจรจาให้เหลือพื้นที่ทับซ้อนเล็กที่สุดเสียก่อน เมื่อตกลงกันได้ จึงค่อยทำเอ็มโอยูแสดงให้เห็นความรีบร้อน ไม่รัดกุม อาจนำประเทศไปสู่ความสุ่มเสี่ยงในอนาคต

และ 6.หากยอมให้มีการขุดปิโตรเลียมและมีการแบ่งผลประโยชน์กัน 50% ระหว่างไทยและกัมพูชาเมื่อใด จะเป็นหลักฐานสำคัญว่าไทยยอมรับสิทธิอธิปไตยของกัมพูชาในพื้นที่ดังกล่าว และมีความเสี่ยงที่จะถูกนำขึ้นสู่ศาลโลกเพื่อแบ่งพื้นที่ให้กัมพูชา 13,000 ตร.กม. ต่อไปในอนาคต

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์

“หากกัมพูชายึดถือกฎหมายทะเลสากล เส้นไหล่ทวีประหว่างกันจะลากจากหลักเขตที่ 73 เฉียงลงทิศตะวันตกเฉียงใต้ ผ่านกึ่งกลางระหว่างเกาะกูดและเกาะกง พื้นที่ทับซ้อนจะเหลือประมาณ 7,000 ตร.กม. เมื่อพัฒนาปิโตรเลียมเสร็จสิ้น แบ่งฝ่ายละครึ่ง ไทยจะเสียพื้นที่ไปเพียง 3,500 ตร.กม.เท่านั้น ดังนั้น เพื่อประโยชน์ของคนไทย จึงควรยกเลิกเอ็มโอยู 44 แล้วทำเอ็มโอยูฉบับใหม่กับกัมพูชา โดยยึดแนวทางที่ไทยเคยทำกับมาเลเซีย และการยกเลิกเอ็มโอยู 44 ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำเอ็มโอยูต่อไป แต่ให้ไปทำเอ็มโอยูตัวใหม่ ปี 68 ก็ได้ แต่ขอให้ไทยกับกัมพูชาทำตามกฎหมายสากลเสียก่อน” ม.ล.กรกสิวัฒน์ระบุ

ด้านนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานร่วมศูนย์นโยบายและวิชาการ พรรคพลังประชารัฐกล่าวว่า มีบางกระแสคิดว่าที่เราออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ขอชี้แจงว่าเราออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้เพื่อประโยชน์ของประเทศ

โดยขอตั้งข้อสงสัยว่า การทำงานของ กต.อาจจะเป็นต้นเหตุทำให้ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาไม่ได้ตระหนักถึงปัญหาเอ็มโอยู 44 โดยขอเรียกร้องให้ รมว.ต่างประเทศและอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กต. ผู้มีหน้าที่ปกป้องประเทศในเวทีกฎหมายสากล ชี้้แจงต่อประชาชนว่า กต.ไปเสนอให้รัฐบาลทำเอ็มโอยูที่รู้ดีอยู่แล้วว่าเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ผ่านเกาะกูดนั้นขัดกับกติกาสากลใช่หรือไม่

เส้นดังกล่าวขัดกับกติกาสากล 3 ข้อ คือ (ก) ขัดอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตฯ เพราะรุกล้ำอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลรอบเกาะกูด (ข) ขัดสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสฯ เพราะอ้างจุดสูงสุดบนเขาเกาะกูดบิดเบือนเจตนารมณ์ และ (ค) ขัดอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป เพราะอนุสัญญาฯ ไม่ได้อนุญาตเรื่องเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในสนธิสัญญาฯ และ กต.ในฐานะผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศย่อมจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว

นายธีระชัยกล่าวอีกว่า ตนจึงเรียกร้องให้ กต.ตอบคำถามเหล่านี้ 1.กต.ได้มีหนังสือท้วงติงกัมพูชาหรือไม่ ว่าเส้นดังกล่าวผิดกติกาสากล 2.กต.เคยแจ้งปัญหานี้ให้รัฐบาลไทยชุดใดรับทราบหรือไม่ 3.กต.เสนอให้รัฐบาลทำเอ็มโอยู โดยเอาเส้นของกัมพูชาที่ กต.รู้ดีอยู่แล้วว่าผิดกติกาสากลไปแสดงไว้ทำไม 4.เอ็มโอยูเป็นการที่รัฐบาลไทยสละสิทธิที่จะท้วงติงเรื่องเส้นผิดกติกาสากล ใช่หรือไม่

5.เส้นที่ผ่านเกาะกูดจะถูกต้องตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ก็เฉพาะกรณีที่ไทยและกัมพูชาเป็นเจ้าของเกาะกูดกันคนละส่วนใช่หรือไม่ หัวใจของเอ็มโอยูที่เป็นธรรมต้องเจรจาตกลงพื้นที่พัฒนาร่วมให้เสร็จก่อน แต่ กต.ดำเนินการกลับทาง โดยตราแผนที่พื้นที่พัฒนาร่วมที่ผิดกติกาสากล เพื่อรีบร้อนเจรจาส่วนแบ่ง การที่ กต.ไม่ได้เปิดเผยต่อรัฐบาลเป็นเหตุให้ทุกรัฐบาลเดินหน้าเจรจาในกรอบที่ผิดกติกาสากลมาตลอด ทั้งที่ควรจะแจ้งรัฐบาลให้รู้ข้อเท็จจริงเพื่อยกเลิกเอ็มโอยูใช่หรือไม่

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์