พื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา กลายเป็นประเด็นร้อนแรงทางการเมือง
พรรคพลังประชารัฐเดินหน้าภายใต้การสั่งการของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค บี้ให้รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ยกเลิก MOU 44
จากปมพื้นที่ทับซ้อน ทาบทับกับเรื่องแหล่งพลังงาน และข้อกังวลเรื่องไทยอาจเสียดินแดน “เกาะกูด” หรือไม่
“ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข” นักรัฐศาสตร์ด้านความมั่นคง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขียนบทความวิชาการถึง การอ้างกรรมสิทธิ์พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ข้อสังเกตทางรัฐศาสตร์ รวมทั้งหมด 32 ข้อ อย่างน่าสนใจ
1) หนึ่งในสาขาที่ยากที่สุดของวิชารัฐศาสตร์ คือสาขากฎหมายระหว่างประเทศ และหนึ่งในสาขาที่ยากที่สุดของกฎหมายระหว่างประเทศคือ กฎหมายทะเล (เป็นหัวข้อที่ไม่ให้นิสิตในที่ปรึกษาเขียนวิทยานิพนธ์ เพราะไม่มีองค์ความรู้มากพอ และไม่จบ)
2) ความยากในทางวิชาการทำให้มีคนจบในสาขานี้ไม่มากนัก (ของจริงคือ น้อยมาก น่าจะเป็นเลขตัวเดียว)
3) ต้องตระหนักเสมอว่า ถ้าปัญหาเส้นเขตแดนทางบกยุ่งยากและซับซ้อนมากเท่าใด เส้นเขตแดนทางทะเลยุ่งยากและซับซ้อนมากกว่าหลายเท่า
4) เส้นเขตแดนทางบกมีความเป็นรูปธรรมจากสถานะของพื้นที่ภูมิศาสตร์กายภาพ แต่เส้นเขตแดนทะเลเป็นจินตนาการ หรือเส้นเขตแดนทะเลเป็น “ค่าสมมุติ” ของเส้นรุ้งและเส้นแวง
5) สภาวะเช่นนี้ทำให้เกิดความง่ายในการบิดเบือนประเด็น เพื่อทำให้สังคมเกิดความไขว้เขว และง่ายในการสร้างเรื่องปลอม หรือสร้างความเชื่อแบบที่ไม่เป็นจริง เช่น ถ้าย้ายหลักเขตที่ 73 ได้แล้ว เราจะเปลี่ยนแปลงเส้นเขตแดนทางทะเลของไทยได้
6) ปัญหาเรื่องเส้นเขตแดนเป็นเรื่องที่ใช้สร้างกระแสชาตินิยมได้ดีที่สุด และนำไปสู่การปลุกระดมที่ง่ายที่สุด เพราะมีพื้นฐานของประวัติศาสตร์ชาตินิยมและทัศนคติแบบต่อต้านประเทศเพื่อนบ้านรองรับ
7) ในการอ้างกรรมสิทธิ์ข้อพิพาทเรื่องดินแดน ทุกประเทศจะอ้างในลักษณะสูงสุด Maximum Claim เพื่อนำไปสู่กระบวนการการเจรจาต่อรอง และทำให้เสียน้อยที่สุด ไม่มีประเทศในอ้าง Minimum Claim เช่น ปัญหาแม่น้ำเหงืองที่บ้านร่มเกล้า ตกลงเส้นเขตแดนอยู่ที่เหงืองใด และทำให้เกิดสงครามบ้านร่มเกล้า (แผนที่ปักปันระวางที่ 5 ของส่วนทางเหนือ)
8) ต้องยอมรับว่า การอ้าง Maximum Claim เป็นเรื่องปกติในทางการเมืองระหว่างประเทศและต้องไม่หงุดหงิด เพราะในมุมของเพื่อนบ้าน ฝ่ายเราก็กระทำการในลักษณะเดียวกัน
9) การเจรจาต่อรองในเรื่องเส้นเขตแดน คือการประนีประนอมที่ใหญ่ที่สุดในทางการเมืองระหว่างประเทศ เพราะจะไม่มีลักษณะที่เป็น Zero-Sum Game คือ The Winner Take All หากเป็น Win-Win Solution
10) ปัญหาที่ต้องหลีกเลี่ยงในกรณีเส้นเขตแดน คือการไม่สามารถตกลงในข้อพิพาทที่เกิดขึ้น และคู่กรณีนำคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก เพราะคำตัดสินอาจเป็นแบบ Zero-Sum Game
11) ถ้าปีกขวาจัดไทยยังยืนยันที่จะปลุกระดมดังที่ปรากฏ จะกลุ่มการเมืองบางส่วนในรัฐสภาแล้ว พวกเขาควรกลับไปอ่านคำตัดสินศาลโลก 2505 เพื่อจะมีบทเรียนว่าศาลโลกจะตรวจหลักฐาน/เอกสารทุกอย่าง จนเหมือนเปิด “วิชาประวัติศาสตร์เส้นพรมแดนไทย“ อย่างที่เราไม่เคยรู้ข้อมูลมาก่อน
12) ถ้าคนที่สะพานมัฆวานในปี 2551 ตระหนักถึงความเสียเปรียบอันเป็นผลจากคำตัดสินเดิมในปี 2505 แล้ว ต้องตระหนักว่า การปลุกระดมในปี 2551 คือ การพาประเทศไทยไปติดกับดักเดิม และเสียดินแดน
13) การปลุกระดมเรื่องเส้นเขตแดนทะเล คือ “สะพานมัฆวานภาค 2” เพราะรับประเด็นเดิมมาเคลื่อนไหวในเรื่องของการยกเลิก MOU 2544/2001
14) MOU ทั้งฉบับบก (2000) และทะเล (2001) เป็นการกำหนดกรอบของการเจรจา ยกเลิกไปก็จะต้องกำหนดกรอบแบบเดิม เพราะรัฐไม่สามารถเปิดการเจรจาทางการทูตได้โดยปราศจากกรอบการคุย
15) MOU 2001 เท่ากับกำหนดให้กัมพูชาต้องยอมรับที่ดำเนินการในกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ และค้ำประกันสิทธิทางทะเลของไทย
16) เส้นเขตแดนทางทะเลไม่ปรากฏชัดเท่ากับเส้นเขตแดนทางบก จึงทำให้เกิดความยุ่งยากในการตีความ และภาษาที่ใช้มีความหมายเฉพาะ เช่น ทะเลอาณาเขตจากฝั่ง 12 ไมล์ของไทยอยู่ตรงจุดไหน
17) เส้นเขตแดนทางบก ไทยทำกับรัฐตะวันตกในยุคอาณานิคม แต่เส้นเขตแดนทะเลกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำในยุคหลังอันเป็นผลจากอนุสัญญากฎหมายทะเล 1958/2501 การประชุมนี้มีผู้แทนไทยเป็นประธาน คือกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์
18) ผลของกฎหมายทะเลทำให้เกิดปัญหาพื้นที่ที่เรียกว่า “เขตไหล่ทวีป” และทำให้เกิดปัญหา “พื้นที่ทับซ้อน” ทางทะเล
19) ปัญหาของเส้นเขตแดนทะเลทับซ้อนดับความต้องการของรัฐในการนำทรัพยากรทางทะเลมาใช้ โดยเฉพาะในกรณีทรัพยากรพลังงาน ทำให้เกิดคำถามในทางปฏิบัติคือ จะกำหนดเส้นเขตแดนทะเลก่อน หรือใช้ทรัพยากรก่อน หรือจะทำคู่ขนานเพื่อนำเอาทรัพยากรมาใช้ด้วย
20) กลุ่มการเมืองปีกขวาจัด เชื่อว่าต้องทำเส้นเขตแดนก่อน เพราะเอาชุดความคิดแบบชาตินิยมเป็นธงนำ ที่ต้องการกำหนด/ปักปันแบบ Maximum Claim คือต้องการได้พื้นที่แบบ Maximum (ถ้าเราได้ฝ่ายเดียว ผู้นำรัฐเพื่อนบ้านจะตอบคำถามอย่างไรในบ้านเขา ต้องคิดในมิติของการอยู่ร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นปัจจัยคู่ขนานด้วย เพื่อไม่ให้เกิดสภาพ “The Winner Take All” ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาไม่จบ)
21) ทางออกในทางปฏิบัติที่ดีที่สุดคือ กำหนดพื้นที่การใช้ทรัพยากรด้วยการจัดทำ “พื้นที่พัฒนาร่วม” (JDA) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่รัฐ หรืออยู่ภายใต้หลักการของการแสวงประโยชน์ร่วมกัน
22) JDA เป็นทิศทางของการแก้ปัญหาข้อพิพาททางทะเลในโลกสมัยใหม่หรือเป็นทิศทางของการยุติข้อพิพาท และการจัดการทรัพยากรทางทะเลของยุคโลกาภิวัตน์
23) ไทยมีบทเรียนในการทำ JDA กับมาเลเซียมาแล้วในปี 2522 และเป็นตัวอย่างของความสำเร็จที่ดีในการแก้ปัญหาข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล
24) การจัดทำพื้นที่เช่นนี้ไม่กระทบต่ออธิปไตยของเกาะกูด เพราะเกาะนี้มีความชัดเจนที่อยู่ใต้อธิปไตยของสยาม (การแลกดินแดนตามสนธิสัญญา 1907 และการสร้างกระโจมไฟในยุคปัจจุบัน) ไม่ใช่ประเด็นเช่นที่ฝ่ายขวาเอามาปลุกระดม [ดูคำตอบของนายพลลอนนอลต่อจอมพลประภาส]
25) การเจรจาไม่ได้มีแต่ฝ่ายการเมือง แต่มีฝ่ายต่าง ๆ อีก 4 ชุดอยู่ร่วมด้วย จึงไม่ใช่ฝ่ายการเมืองสามารถตกลงใจเองได้โดยพลการ ทำให้การแอบแลกผลประโยชน์ไม่อาจเกิดขึ้นโดยฝ่ายเทคนิคไม่รับรู้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นที่มีการปลุกระดมอย่างมาก (คณะอนุกรรมการคณะทำงาน 2 ชุด และคณะผู้เชี่ยวชาญ)
26) การเจรจาไม่ใช่เกิดในปี 2544/2001 แล้ว จบลงด้วยความสำเร็จทันที แต่เป็นการดำเนินการที่สืบเนื่องต่อกันมาตั้งแต่ยุคจอมพลถนอม/จอมพลประภาส
27) ไทยประกาศเขตทางทะเลครั้งแรกในรูปแบบของการประกาศเขตให้สัมปทานในอ่าวไทยในปี 2511 และไทยประกาศเขตไหล่ทวีปครั้งแรกในปี 2516 (เวียดนามประกาศ 2514 กัมพูชาประกาศ 2515)
28) การเจรจาปัญหาทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา เกิดครั้งแรกในปี 2513 ที่กรุงพนมเปญและอีก 25 ปี เจรจาครั้งที่ 2 ในปี 2538 แต่ไม่เกิดความคืบหน้าจริง
29) การเจรจาครั้งที่ 3 ในปี 2544 จึงสามารถตกลงกันได้เป็น MOU 2001/2544 โดยใช้เส้นละติจูดที่ 11 เป็นเส้นหลัก
30) MOU 2001 เป็นการหาทางยุติข้อพิพาทในกรอบของกฎหมายระหว่างประเทศ ตามอนุสัญญาเจนีวาเรื่องไหล่ทวีป 1958/2501 แต่ยังไม่สามารถผลักดันเกินไปกว่าระดับนั้น
31) ในทางการเมืองระหว่างประเทศ ต้องตอบคำถามว่า ข้อตกลงนี้เป็นประโยชน์ต่อประเทศหรือไม่ รักษาผลประโยชน์ของประเทศหรือไม่ ไม่ใช่ตั้งคำถามว่าข้อตกลงนี้ทำในยุครัฐบาลใด หรือใครทำ
32) การปลุกระดมและสร้างความไขว้เขวในเรื่องเส้นเขตแดนจะดำรงอยู่ต่อไป แม้จะยุติปัญหาข้อพิพาทได้ แต่ฝ่ายขวาไทยจะยังคงหยิบเรื่องเส้นเขตแดนมาเป็นประเด็นในการเคลื่อนไหวทางการเมืองเสมอ เพราะเส้นเขตแดนคือ จิตวิญญาณของลัทธิชาตินิยม และปลุกระดมได้ง่าย ดังเช่นกรณีเส้นเขตแดนที่พระวิหาร
ศ.ดร.สุรชาติ ยังยกประโยคของ พลเรือเอกถนอม เจริญลาภ ผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่และเส้นเขตแดนทางทะเลของไทย ที่ระบุว่า
“ปัญหาเรื่องเส้นเขตแดนไม่มีอะไรดีกว่าการเจรจา คือการเจรจานี้เมื่อได้มาแล้วจะเป็นการได้มาที่ยั่งยืนและมั่นคง เกิดความยินดีทั้งสองฝ่าย”