
นายกฯ สรุปผลร่วมประชุมเอเปค-พบเอกชน ได้ขับเคลื่อนการลงทุน ดันนโยบายดิจิทัล เชื่อเป็นใบเบิกทางให้นานาชาติเห็นตัวตนไทยมากขึ้น
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงภาพรวมการเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 31 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ว่าสาธารณรัฐเปรูเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคเป็นครั้งที่ 3 แล้ว อย่างไรก็ดี ด้วยเอเปคเป็นการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจ เอเปคจึงถูกกำชับว่าห้ามเรียกว่าประเทศ แต่ให้เรียกว่าเขตเศรษฐกิจแทน เพื่อให้สมาชิกในเขตเศรษฐกิจทุกคนช่วยเหลือซึ่งกันและกันโดยไม่แบ่งแยกประเทศ
ในส่วนของประเทศไทย ก็เคยเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคปี 2565 ภายใต้แนวคิด BCG Economy หรือ Bio-Circular-Green Ecocomy ในการประชุมครั้งนี้ก็ยังใช้แนวคิดเดิม โดยมีหัวข้อหลัก ๆ อาทิ การเสริมสร้างพลัง การมีส่วนร่วม และการเติบโตที่ยั่งยืน (Empower Include Grow) เพื่อให้สมาชิกเติบโตที่ยั่งยืนไปด้วยกัน
พร้อมเปิดเผยว่า การมาเยือนในครั้งนี้ได้มีการขับเคลื่อนการลงทุน โดยผลักดันให้เกิดการค้าเสรี หรือ FTA ขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ได้ส่งเสริมในเรื่องของนวัตกรรมดิจิทัล และการเติบโตที่ยั่งยืน ทั้งหมดจึงตรงกับนโยบายที่ประเทศไทยกำลังผลักดันอยู่พอดี เพราะขณะนี้ทั่วโลกส่วนใหญ่เน้นย้ำเรื่องนี้เป็นหลัก ซึ่งประเทศไทยเองก็เช่นกัน
ส่วนเรื่องของการพัฒนาที่ยั่งยืน ทุกประเทศได้พูดคุยกันถึง Sustainability โดยลงรายละเอียด ว่าจะพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืนได้อย่างไร รวมถึงสอบถามอุปสรรคและปัญหาทางภัยธรรมชาติที่เผชิญว่าจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรได้บ้าง และจะนำเทคโนโลยีที่แต่ละประเทศมีไม่เหมือนกันมาสนับสนุนได้อย่างไร
สำหรับการประชุมนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในการหารือกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC Dialogue with APEC Economic Leaders) ได้คุยกับผู้นำแต่ละเขตเศรษฐกิจและนักธุรกิจในด้านต่าง ๆ อาทิ พลังงาน รถยนต์ไฟฟ้า และ AI
ซึ่งหลายบริษัทได้สอบถามว่าประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดไหน จึงตอบไปว่า ตอนนี้ประเทศไทยกำลังรับเรื่องการลงทุน เพื่อสร้างเม็ดเงินใหม่ ๆ เข้ามาในประเทศ โดยเน้นไปที่เทคโนโลยี AI, Semiconductor และ Data Center วันนั้นจึงได้มีโอกาสพูดคุยกับนักธุรกิจด้วยกัน 3 บริษัท ประกอบด้วย Tiktok, Microsoft และ Google จึงเสมือนเป็นการต่อยอดให้มาลงทุนเพิ่มเติมกับประเทศไทย
และประกาศว่าประเทศไทยพร้อมจะสนับสนุนในเรื่องใดบ้าง เพื่อให้ต่างชาติเกิดความมั่นใจ ว่าหากมาลงทุนที่ไทยรัฐบาลก็พร้อมสนับสนุน เพราะแท้จริงแล้ว 3 บริษัทดังกล่าวก็มีการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านด้วย ด้วยเหตุนี้จึงอยากให้มาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น
ฉะนั้น หากถามว่าประเทศจะได้อะไรจากการลงทุนในครั้งนี้ แน่นอนว่าการลงทุนอย่าง Data Center จะทำให้คนไทยเกิดอาชีพใหม่ ๆ และเกิดการจ้างงานแบบใหม่ ๆ เพราะอย่างที่ทราบกันว่าตอนนี้ GDP ของไทยเติบโตไม่เต็มศักยภาพ
ดังนั้น การหาเม็ดเงินใหม่ ๆ เข้ามาในประเทศ เพื่อให้คนมีรายได้และมีอาชีพจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยไทยจะต้องพัฒนาทุกด้านไปพร้อม ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเงิน 10,000 บาท รายได้ใหม่ ซอฟต์พาวเวอร์ การลงทุน และการหาเม็ดเงิน ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้เกิดภาพรวมและกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งประเทศ
ขณะที่การเข้าร่วมกรอบการประชุมต่าง ๆ นายกรัฐมนตรีระบุว่าไทยได้แสดงจุดยืนในเรื่องของนโยบายเชิงรุก ว่าการศึกษาในไทยรัฐบาลยินดีที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่อยู่แล้ว แต่หากติดขัดในเรื่องของภาษา เราก็พร้อมที่จะสนับสนุน โดยขอให้แต่ละบริษัทมีการฝึกอบรมในรูปแบบของภาษาไทยด้วย เพื่อพัฒนาบุคลากรควบคู่กันไป ขณะเดียวกัน ตนก็ได้สร้างความมั่นใจไปว่าไทยพร้อมแล้วที่จะมุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจ โดยให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านเกษตรกรรมอัจฉริยะ หรือ Smart Farming อย่างแท้จริง
ส่วนการพบหารือทวิภาคี นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ได้พบกับนางดินา เอร์ซิเลีย โบลัวร์เต เซการ์รา ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรู ซึ่งดีมาก ๆ เพราะเปรูถือเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมเอเปคปี 2024 นี้ อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงเหมือนกันด้วย
จึงได้มีโอกาสทักทายและพูดคุยกัน พร้อมยืนยันไปด้วยว่า ไทยพร้อมที่จะทำงานร่วมกันต่อไป โดยเฉพาะในเรื่องการเจรจาการค้าเสรี หรือ FTA ระหว่างไทย-เปรู เนื่องจากเปรูเพิ่งเปิดท่าเรือชางใคได้ไม่นาน จึงถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการส่งสินค้าเกษตรของไทยได้เป็นอย่างมาก ซึ่งจะเชื่อมโยงกับโครงการแลนด์บริดจ์ของไทยได้อีกด้วย
ส่วนเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า เปรูได้มีการนำขนอัลปากามาทำเป็นเสื้อ ขณะที่ไทยมีผ้าไหม จึงต้องหาทางว่าจะทำร่วมกันอย่างไรดี เพื่อให้เกิดเนื้อผ้าพิเศษขึ้นมา ฉะนั้น เรื่องนี้ทางคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติจะนำประเด็นนี้ไปพิจารณากันต่อ เพื่อนำซอฟต์พาวเวอร์ของทั้งสองประเทศมารวมกัน ให้คนสามารถเข้าถึง เข้าใจได้ง่าย และช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง
ทั้งนี้ สำหรับการหารือทวิภาคีกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าได้พูดคุยเรื่องที่จะร่วมมือกัน เพราะในปีหน้าไทย-จีนจะมีงานเฉลิมฉลองความสัมพันธ์จีน-ไทย ครบรอบ 50 ปี จึงได้มีการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาติ หรือพระเขี้ยวแก้ว มาประดิษฐานไว้ที่ประเทศไทย เพื่อให้พี่น้องคนไทยสักการบูชา
นอกจากนี้ ยังได้มีการพูดคุยกันถึงเรื่องที่จีนจะมอบแพนด้ายักษ์มาประเทศไทยอีกครั้ง โอกาสนี้ไทยจึงได้กล่าวชื่นชมประเทศจีนเรื่องลดความยากจนในประเทศว่าทำได้สำเร็จดีมาก ๆ และพร้อมที่จะเรียนรู้โมเดลของจีนต่อไป หากมีอะไรก็สามารถแนะนำมาได้ โดยไทยได้ย้ำถึงความร่วมมือระหว่างกัน โดยเฉพาะเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่จะต้องขอความร่วมมือซึ่งกันและกันด้วย
ตนจึงได้เปิดโอกาส และขอให้ภาคเอกชนของจีนเข้ามาลงทุนที่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจีนยืนยันว่าจะส่งเสริมความร่วมมือต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ Online Scam ระหว่างกัน และจะสนับสนุนไทยเข้าร่วม BRICS
ก่อนกล่าวทิ้งท้ายถึงการเข้าร่วมงานกาล่าดินเนอร์ ว่าได้มีโอกาสเข้าร่วม 2 ครั้ง คืองานเลี้ยงอาหารค่ำ APEC CEOs-Leaders Dinner และงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค จึงได้สร้างความมั่นใจและขอความร่วมมือให้ภาคเอกชนมาลงทุนที่ประเทศไทย ตลอดทั้งสามวันจึงถือว่าได้ประสบการณ์เป็นอย่างมาก เพราะได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้นำในแต่ละเขตเศรษฐกิจ
ซึ่งพอได้คุยกันอย่างเป็นการส่วนตัว ก็ได้คุยกันถึงเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ ขณะเดียวกัน เราก็ได้เน้นย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีโลกด้วยว่า พร้อมแล้วสำหรับการลงทุน และความร่วมมือ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจทั้งของเราและเพื่อนสมาชิก
ด้วยเหตุนี้ จึงมั่นใจว่าการได้พูดคุยกันแบบนี้จะทำให้เราสามารถเดินหน้าความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ และหาโอกาสให้กับประเทศไทยได้ง่ายขึ้น โดยในการเจรจาครั้งต่อไปเขาก็จะได้รู้ว่าเรามีตัวตนและมีศักยภาพ