
นายกรัฐมนตรี ชู 3 ทางรอดประเทศ อาหาร เวลเนส และซอฟต์พาวเวอร์ ลั่นรัฐบาลพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจให้คนไทยปากท้องต้องอิ่ม เพื่อปลดล็อกศักยภาพ มีแรงผลักประเทศ มั่นใจ ปี 2568 เศรษฐกิจโตเกินเป้า เตรียมแผนรับมือจีน-สหรัฐ
ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ จัดงานสัมมนา THAILAND 2025 โอกาส ความหวัง ความจริง โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ประเทศไทย โอกาส ความหวัง ความจริง”
โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนเพิ่งกลับมาจากการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค ที่ประเทศเปรู ได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้คุยกับผู้นำทั่วโลก อยากจะเล่าว่าประเทศเหล่านั้นมองโลกอย่างไร ทั้งนี้ แน่นอนว่ารัฐบาลพยายามสร้างโอกาสให้กับคนไทยให้ได้มากที่สุด เป็นโอกาสที่จับต้องได้ ซึ่งตนชอบคำนี้ เพราะรู้สึกว่าการทำให้ชีวิต ทำให้คนมีโอกาสเป็นคำพูดที่สวยหรู แต่โอกาสที่จับต้องได้ แปลว่า เราจะสามารถใช้โอกาสเหล่านั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์กับชีวิตของเราได้ นั่นคือสิ่งสำคัญที่รัฐบาลจะทำให้เกิดขึ้น
แน่นอนว่าเราเห็นศักยภาพของคนไทยที่มีศักยภาพสูงมาก แต่บางครั้งเข้าไม่ถึงโอกาส หรือมีการซัพพอร์ตไม่เพียงพอ และซัพพอร์ตไม่เพียงพอ รัฐบาลเร่งทำเรื่องนี้ แต่บางสิ่งบางอย่างสะสมยาวนานไม่สามารถใช้วิธีหรือสองวิธีเพื่อแก้ปัญหาได้ แต่เราต้องใช้หลายวิธีผลักดันประเทศชาติ และเศรษฐกิจของประเทศให้ไปข้างหน้าได้อย่างแข็งแรง
ปากท้องคนไทยต้องอิ่ม
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า อย่างแรกที่รัฐบาลต้องการจะทำ คือ พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ พัฒนาเศรษฐกิจก่อน เพราะเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่สำคัญ ทำให้คนในประเทศกินอยู่ได้ดีขึ้น ถ้าคนไทยปากท้องอิ่ม ศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวก็จะออกมาเอง ถ้าเบสิกขั้นพื้นฐานยังไม่ถูกเติมเต็ม การจะเกิดความคิดสร้างสรรค์หรือมีแรงผลักดันประเทศก็จะเกิดขึ้นได้ยาก ดังนั้น เราถึงพยายามกระจายโอกาสตรงนี้ไปให้ได้มากที่สุดเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
ซึ่งขณะนี้มีการคาดเดาการเติบโตของจีดีพี ถ้ารวมทั้งปีประมาณ 2.7% อยู่ในช่วงที่กำลังฟื้นตัวอยู่ แต่ในแต่ละไตรมาสเราทำได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ อย่างที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประกาศตัวเลขว่าจีดีพีเราโตขึ้น 3% เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ และส่วนใหญ่ที่เศรษฐกิจเราเติบโตได้มาจากการลงทุนของภาครัฐ
“และจากการคาดเดาในปี 2568 เราตั้งเป้าไว้ว่าเศรษฐกิจเราจะโต คาดว่าจะโตกว่าที่ตั้งเป้าไว้” น.ส.แพทองธาร กล่าว
นักท่องเที่ยวเกือบเท่าก่อนโควิด
ที่สำคัญคือการท่องเที่ยว เพราะช่วงก่อนโควิด-19 มีนักท่องเที่ยว ประมาณ 40 ล้านคน ซึ่งตัวเลขหายไปอย่างน่าตกใจ ซึ่งก่อนหน้าที่จะเข้าการเมือง ตนทำโรงแรมอยู่ ตัวเลขหายไปมาก แต่ขณะนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวกลับมาแล้ว คาดว่ากลับมาถึง 36 ล้านคน ใกล้ช่วงก่อนโควิด-19 แล้ว และยังเพิ่มขึ้นกว่าปี 2566 ถึง 28% ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดีของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวด้วย
นอกจากเหตุการณ์โควิด-19 ที่เบาตัวแล้ว เรื่องฟรีวีซ่า ตั้งแต่รัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ที่ทำต่อกันมา และมีการพัฒนาสนามบิน ซึ่งเราอยากให้สนามบินเราเป็น Smart Airport ไม่ต้องเสียเวลาในการรอคิว เราพยายามทำเรื่องนี้ให้ต่อเนื่องมากขึ้น
เราจะทำ festival country เราพยายามทำให้เมืองไทยทั้งประเทศเป็นที่ที่สามารถท่องเที่ยวได้ ไม่อยากให้ชาวต่างชาติรู้จักแค่เมืองหลัก อยากให้เที่ยวเมืองรองด้วย จึงผูกวัฒนธรรมที่มีเสน่ห์ ทั้งลอยกระทง สงกรานต์ หลาย ๆ จังหวัดเข้าด้วยกัน เพื่อให้คนต่างชาติรู้ว่าเราไม่ต้องเที่ยวจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งเท่านั้น สามารถเที่ยวได้ ทั้งประเทศ และมีระยะเวลาให้เที่ยวยาวนาน เป็นสิ่งที่รัฐบาลพยายามทำอยู่
ยันรัฐบาลอยู่ครบเทอม
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า “ที่เล่าให้ฟังว่าได้ไปคุยกับต่างชาติ ทุกคนสนใจการลงทุนประเทศไทย ถ้าการเมืองเรามีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น นักธุรกิจ ต่างชาติก็มีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น ดิฉันมีหน้าที่ไปบอกทุกคนว่าเราเชื่อมั่นว่าสามารถอยู่ครบเทอมจนเลือกตั้งได้ เพื่อให้ชาวต่างชาติมั่นใจว่าการลงทุนจะไม่เปลี่ยนแปลง หรือสิ่งที่นายกฯ เศรษฐาเดินทางไปบอกทั่วโลกว่ารัฐบาลกำลังทำอะไรอยู่ น่าลงทุนอย่างไร ดิฉันสานต่อนโยบายเหล่านั้นเพื่อให้การลงทุนไม่สะดุด สิ่งที่ได้ทำให้เห็นชัดคือ google มาลงทุน คือการตอกย้ำว่ายังทำสิ่งนี้อยู่ ก็สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติด้วย”
เร่งใช้งบฯลงทุน 9.6 แสนล้าน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลเร่งทำต่อไป คือการใช้งบประมาณด้านการลงทุน 9.6 แสนล้านบาท ให้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะปกติแล้วงบฯเหล่านี้ใช้ไม่หมด ติดเรื่องความล่าช้า ในปี 2568 กำชับกันว่าต้องใช้งบฯนี้ให้หมด เพื่อให้คุ้มค่ากับภาษี
ปรับสมดุลนโยบายทรัมป์
ส่วนการที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้นายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดีนั้น น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า นโยบายของเขา หรือสิ่งที่เขาทำอาจจะขยับไปทางอนุรักษนิยมมากขึ้น และหลายคนกังวลว่าเขาจะปรับเรื่องการค้า การลงทุนอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่ารัฐบาลเตรียมการในเรื่องนี้อย่างมาก
เราทราบอยู่แล้วว่ามีนโยบายที่จะพุ่งเป้าประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ ประเทศไทยพึ่งพาการส่งออก 60% ของจีดีพี แต่ส่งออกไปยังสหรัฐ 10% ของจีดีพี เป็นตัวเลขที่มาก รัฐบาลต้องมีมาตรการรองรับ จะปรับสมดุลอย่างไรไม่ให้เสียโอกาสของประเทศ
ช่วย SMEs ไทย สู้สินค้าจีน
นอกจากนี้ ต้องดูมาตรการต่าง ๆ ที่ต้องผลักดันเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ ต้องคำนึงถึง Economy of Scale ด้วย คือประเทศจีน ที่มีกำลังการผลิตสูงมาก ทำให้ต้นทุนถูก เราจะรู้สึกว่าการแข่งขันของเราสู้จีนไม่ได้ เพราะไม่สามารถผลิตของได้เท่าเขา แน่นอนว่าจะเป็นสงครามด้านการผลิต แต่แน่นอนรัฐต้องช่วยเรื่องของภาษี หรือเรื่องการดูข้อกฎหมาย ข้อบังคับให้หนักแน่นมากยิ่งขึ้น
“ไม่ว่าเป็นการซื้อ การขายทางออนไลน์ ที่จะต้องดูให้ถูกกฎ นำกฎที่มีอยู่แล้วมาทำให้เคร่งครัดมากยิ่งขึ้นเพื่อช่วย SMEs ของไทยด้วย สิ่งนี้เกิดขึ้นในปัจจุบันและ SMEs หลายคนก็เป็นห่วง”
รุกส่งออกสินค้าเกษตรไปจีน
แต่ถ้าเรามองภาพรวมของประเทศจีน เราจะเห็นว่าพื้นที่เกษตรของเขาไม่พอที่จะให้คนในประเทศบริโภค จึงต้องพึ่งพาสินค้าเกษตรจากประเทศอื่น ซึ่งไทยเป็นประเทศที่การเกษตร และการส่งออกแข็งแรงอยู่แล้ว ดังนั้น เราต้องมาช่วยให้ตรงนี้แข็งแรงเพิ่มยิ่งขึ้น เช่น การถนอมอาหาร ถนอมสินค้า เพื่อไปส่งปลายทางแล้วยังมีคุณภาพที่ดีเหมือนต้นทาง
3 ทางรอดประเทศไทย
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ปัญหาที่พูดมาเราต้องหาทางรอดว่าจะทำอย่างไรให้คนไทยมีอาชีพที่มั่นคง และหาเม็ดเงินใหม่ ๆ เข้าประเทศได้ เพราะหนี้ครัวเรือนเรามากมายเต็มไปหมด การทำให้คนมีรายได้อย่างเดียวไม่พอ ต้องเกิดรายได้ใหม่ เม็ดเงินใหม่ ๆ ด้วย
เรามีทางรอด 3 ทางที่ช่วยประเทศได้อย่างแน่นอน คือ หนึ่ง โอกาสด้านอาหาร ถ้าไปที่ไหนต่างชาติบางทียังแยกไม่ออกว่าเราเป็นคนชาติไหน ไทย ญี่ปุ่น จีน แต่ทราบแน่นอนว่าอะไรคืออาหารไทย ซึ่งแข็งแรงและมีจุดเด่นอย่างมาก
เรื่องอาหารเรามีความพร้อมอยู่แล้ว เราเคยทำครัวไทยสู่ครัวโลก ตนได้เข้าไปคุยกับแต่ละประเทศ ทุกคนเห็นว่าไทยเป็นครัวของโลกได้จริง ๆ เพราะเรามีทรัพยากรด้านการเกษตรได้เยอะ เขามองว่าถ้าเขาสามารถฝากอาหารไว้ที่ประเทศเราได้ หรือ food security เป็นสิ่งที่น่าลงทุน ดังนั้น รัฐบาลมองในเรื่องการถนอมอาหาร การส่งออก ว่าจะทำอย่างไรให้คุณภาพอาหารที่ส่งออกไปยังมีคุณภาพสด เหมือนที่เมืองไทย โดยใช้เทคโนโลยี ใช้นวัตกรรมเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ทุกคนมองว่าอยากให้เราเป็นครัวโลก เพราะหลาย ๆ ประเทศยังมีความไม่สงบสุขในประเทศ และต้องการซื้อสินค้าจากไทยและฝากสินค้าไว้ก่อน ถ้าเขาสั่งออร์เดอร์ปุ๊บเราก็จะส่งให้เขาได้ทันที เขาจะได้มีอาหารสดใหม่ไปเก็บที่ประเทศเขาได้อีกนาน ๆ ได้อย่างไร เป็นสิ่งที่ทั่วโลกยอมรับและสนใจอย่างมาก
ขณะที่เนื้อวัวของประเทศไทย เป็นสิ่งที่เขาต้องการมาก ๆ แต่ก็ต้องการมาตรฐานที่ดีขึ้นของไทยด้วย แม้เรามีวัวเพียงพอที่จะส่งออก แต่เขากังวลเรื่องโรค ว่าเราจะสกรีนอย่างไรให้เนื้อ และหนังที่เราส่งไป มีความปลอดภัยและดีมากพอที่จะยอมรับได้และซื้อจากไทย เป็นเงื่อนไขที่ต้องคัดกรองโรคให้ชัดเจนขึ้น จะทำให้เรามีโอกาสมากขึ้น
และเรายังขายเรื่องซอส หรือสุมนไพร อยากทำให้แข็งแรงมากขึ้น เรื่องของเชฟ ซึ่งผูกกับนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ที่จะรีสกิล อัพสกิล อยากให้ทุกคนผ่านโครงการ 1 หมู่บ้าน 1 เชฟอาหารไทย เพื่อทำให้เชฟเหล่านั้นมีใบรับรองในการทำอาหาร ก็จะสร้างอาชีพเพิ่มมากขึ้นด้วย
ปั้นไทยเป็นฮับเวลเนส
สอง โอกาสสุขภาพ แน่นอนว่าเรามี 30 บาทรักษาทุกโรค และขณะนี้ทำให้เป็น 30 บาทรักษาทุกที่ ทำให้คนสามารถเข้าถึงนโยบายนี้ได้อย่างง่ายดายขึ้น ไม่ต้องเสียเวลารอคอย เป็นนโยบายที่ทั่วโลกยอมรับ และศึกษาจากเราว่าทำอย่างไรได้บ้าง ซึ่งเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ
เรื่องอาหารสุขภาพ และสมุนไพร ตนได้คุยกับคนญี่ปุ่น ว่า ประเทศเขาเองสอนว่าอาหารแต่ละประเภทดีต่อสุขภาพอย่างไร จะเห็นว่าคนญี่ปุ่นไม่เป็นโรคอ้วน เพราะเขามีวิธีการสอนตั้งแต่เด็กเลยว่าทำอย่างไรมีสุขภาพดีไปจนอายุเยอะ
โดยเราจะใช้เทคโนโลยีจะมีส่วนช่วยในเรื่องเวลเนส การทำสมุนไพรให้เป็นยารักษาโรค และในอนาคตจะทำให้ไทยเป็นฮับของเวลเนส และทำให้คนทั่วโลกที่คิดดูแลสุขภาพ สามารถมาที่ประเทศไทยได้
เรื่องโรงพยาบาล และหมอของประเทศไทย ขึ้นชื่อในชาวต่างชาติมาก ๆ เราได้เปรียบในเรื่องนี้อยู่แล้ว เราต้องพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ให้ดียิ่งขึ้น
ปั้นมวยไทย-อุตสาหกรรมหนัง
สาม อุตสาหกรรมที่สร้างซอฟต์พาวเวอร์ เรามีมวยไทยที่ดังไปทั่วโลก ที่อังกฤษมีค่ายมวยไทย 4 หมื่นแห่ง อาจไม่ได้ใบรับรอง เราจึงนำวิชามวยไทยมารีสกิล อัพสกิล เพื่อให้ได้ใบรับรอง และสามารถเพิ่มรายได้ตรงนี้ให้กับประชาชนด้วย
เรามีวัฒนธรรมของไทยที่มีเสน่ห์ ต่างชาติสนใจ ดังนั้น เราจึงผูกทุกวัฒนธรรมของทุกจังหวัดเข้าด้วยกันเพื่อทำให้ประเทศของเราน่าเที่ยวได้ทั้งปี เพื่อสร้างเม็ดเงินเข้าประเทศ
เรื่องภาพยนตร์ เราสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ได้คุยกับฮอลลีวูด ทั้ง Disney Amazon Netflix และประกาศว่า เราจะเพิ่ม Cash Rebate ให้กองถ่ายต่างประเทศที่จะมาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศ จาก 20% เป็น 30% เขาจะประหยัดต้นทุนในการผลิตของเขาได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งทุกบริษัทปรบมือเป็นเสียงเดียวกัน
เพราะปี 2566 มี 40 ประเทศเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย ประมาณ 450 เรื่อง สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศ 190 ล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นกองถ่ายจากสหรัฐ 34 เรื่อง ซึ่งสหรัฐมี know how สามารถพัฒนาสกิลของคนไทยได้ด้วย และยังเกิดการจ้างงานตามมาด้วย
“เรื่องเกมของคนไทยก็ดังมาก ๆ อย่าง home sweet home เป็นเกมที่เป็นผีไทยพื้นฐาน ดังไปทั่วโลก สร้างเม็ดเงินมากมาย ภาพยนตร์เรื่องหลานม่า ดิฉันประทับใจมาก เพราะไปคุยกับฝรั่งเขาบอกว่าเขาชอบหนังไทยเรื่องหลานม่า เขาชอบกันจริง ๆ ก็ดูหนังไทยของเรา จึงอยากให้คนไทยมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีก เพราะเราอยากหาฮีโร่ในทุกอุตสาหกรรม ในทุกจังหวัด เพื่อให้เรามีความภูมิใจในพื้นที่นั้น ๆ และไปคุยกับทั่วโลกได้ว่าเรามีความเก่ง ชำนาญในหลาย ๆ ด้าน” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ย้ำต้องแบ่งพลังงานกับกัมพูชา
น.ส.แพทองธาร ยังกล่าวเรื่องพลังงานว่า เป็นอุตสาหกรรมที่ต้องทำควบคู่ไปด้วย เพราะต้องยอมรับว่าก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยมีวันที่ต้องหมดไป ซึ่งการประมาณการของผู้เชี่ยวชาญว่าอีก 10 ปี ก็จะหมดไป เรื่องที่เป็นกระแสอยู่คือ MOU 44 เราต้องคุยเรื่องนี้กับกัมพูชาว่าจะแบ่งการใช้ก๊าซธรรมชาติร่วมกันอย่างไร แต่เกาะกูดไม่เกี่ยว เกาะกูดไม่ใช่ เกาะกูดเป็นของเราอยู่แล้ว
นอกจากนี้ เรายังเน้นพลังงานสะอาด พลังงานทางเลือก ประเทศเราเป็นประเทศที่แดดออกตลอดเวลา ดังนั้น สามารถผลักดันโซลาร์เซลล์ต่อได้อีกเยอะ
เรื่อง Semiconductor ที่เป็นเทรนด์ของโลก มีการศึกษาว่าไทยจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับอุตสาหกรรมนี้อย่างไรได้บ้าง เป็นมาตรการ และโอกาสที่จะหาเม็ดเงินใหม่ ๆ เข้าประเทศได้ และแข่ง economy of scale กับจีนได้
ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลมองเห็นโอกาสของประเทศไทยในการหาเม็ดเงินใหม่มาเติม ทั้งเม็ดเงินจากต่างชาติ และเงินที่เกิดจากรายได้ใหม่ ๆ ของเราเอง
“รัฐบาลจะมีการแถลงสิ่งที่ทำไปในรัฐบาลนี้ 90 วัน ในวันที่ 12 ธันวาคมนี้ รับรองจะมีเรื่องนโยบายดี ๆ มาเล่าให้ฟังว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตอีก และของขวัญปีใหม่ที่จะให้กับประชาชน”