
นายกฯ คุยผู้บริหารฟอร์บส์ มุ่งสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ย้ำรัฐบาลอยู่ครบเทอม เชื่อเงินหมื่นเฟส 2 เศรษฐกิจสะพัด เชื่อไทยพร้อมปรับตัว-ไร้ปัญหาแม้สหรัฐเปลี่ยนผู้นำ เผยบนเวทีโลกถูกถามถี่ พ่อ-อา เป็นอย่างไรบ้าง
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมกิจกรรมการสนทนาแบบ one-on-one กับ Molra Forbes ผู้บริหารบริษัทฟอร์บส์ ในกิจกรรมของ Forbes Global CEO Conference โดยระบุว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาตนมีโอกาสได้เล่าเรื่องวิสัยทัศน์ในปี 2568 (ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ ประเทศไทย : โอกาส, ความหวัง, ความจริง งานสัมมนา PRACHACHAT THAILAND 2025) ที่ต้องสร้างความเชื่อใจ และเชื่อมั่นเพื่อดึงดูดนักทุน เนื่องจากนับได้ว่าเป็นระยะเวลาทศวรรษที่ประเทศไทยไม่ได้เติบโตอย่างที่ควร จึงควรมีแหล่งลงทุนและแหล่งรายได้ใหม่ และที่ผ่านมา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้มีการวางแผนเชิญนักลงทุนมายังประเทศไทย
นายกรัฐมนตรียังเล่าถึงเดือนแรกที่เป็นนายกรัฐมนตรี มีนักลงทุนบางรายยังตั้งคำถาม ว่าสามารถลงทุนในไทยได้หรือไม่ และนโยบายยังคงเดิมอยู่หรือไม่ ตนก็พยายามอธิบายว่า ตนและนายเศรษฐามีความใกล้ชิดกันและนโยบายก็มาจากพรรคเดิม ก็จะดำเนินการนโยบายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเดือนแรกออกไปบอกกับผู้นำ CEO ทั่วโลก ขอให้ทุกคนเข้ามาลงทุนทำธุรกิจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดี และพอมีโอกาสในการที่จะได้เข้าร่วมการประชุมที่สำคัญ ไปคุยกับพวกเขาตื่นเต้นมาก ๆ ที่จะได้ลงทุนกับไทย และตนเองก็เคยเป็นภาคเอกชนมาก่อน ทำธุรกิจโรงแรม จึงเข้าใจความต้องการต่าง ๆ ของเอกชน
ซึ่งรัฐบาลมีโอกาสที่จะได้คุยกับ CEO ที่สนใจในการลงทุน รัฐบาลพร้อมสนับสนุนเต็มที่ในการลงทุน ก็เข้าใจว่าไทยนั้นมีเอกสารมากมายหลาย ๆ ขั้นตอน อาจจะทำให้ภาคเอกชนปวดหัว ซึ่งไทยมีหน่วยงานด้านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI สนับสนุนการลงทุน
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นักลงทุนในประเทศไทยหากสามารถมีการฝึกอบรมให้เข้าใจภาษาไทยได้ รวมไปถึงการเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจของ AI และเทคโนโลยี ก็ถือเป็นเรื่องแรกที่ตนร้องขอในการที่จะทำธุรกิจในประเทศไทย และขั้นตอนต่อไปตนก็พยายามที่จะปรับปรุงเรื่องการศึกษาในประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้นเท่าที่จะสามารถทำได้ ซึ่งหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมามีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ล่าช้า รัฐบาลจึงเห็นถึงความจำเป็นในการแก้ไขกฎหมายบางฉบับ เพื่อการเปลี่ยนผ่านในการทำธุรกิจ
เมื่อถามถึงลำดับความสำคัญในเยือนเปรู ช่วงหนึ่งมีการพูดถึงเสถียรภาพของรัฐบาล เพื่อดึงดูดนักลงทุน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าการสร้างเสถียรภาพเพื่อดึงดูดนักลงทุน ตนเข้าใจว่าความเติบโต ความง่ายในการทำธุรกิจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในประเทศไทย
ขณะที่ซอฟต์พาวเวอร์จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยดึงดูดนักลงทุนได้เป็นอย่างมาก ประเทศไทยมีรากฐานทางวัฒนธรรมที่ยาวนาน ซึ่งต่างชาติอยากเรียนรู้วัฒนธรรม ซึ่งต้องมีการเชื่อมโยงแต่ละเทศกาลเข้าด้วยการเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้อยู่นานมากขึ้น
นายกรัฐมนตรียังระบุถึงเสถียรภาพของรัฐบาล ทุกอย่างก็จะมีเสถียรภาพมากขึ้น น่าจะต้องสร้างความมั่นใจทั้งในและนอกประเทศก่อน และทำให้คนไทยเชื่อมั่นในตัวเอง ว่ารัฐบาลสนับสนุนจริง ๆ ในการทำธุรกิจใหม่จริง ๆ เพราะส่วนใหญ่กว่า 70% เป็นธุรกิจของประเทศไทย เป็น SMEs จึงจำเป็นต้องมีการแก้ไขร่างกฎหมายเพื่อให้ง่ายขึ้นสำหรับคนไทย
นายกรัฐมนตรียังเล่าถึงประสบการณ์บนเวทีการประชุมผู้นำเอเปค ว่าตนเป็นผู้นำที่เป็นผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุด มีตนและประธานาธิบดีของเปรู โดยตนพยายามสร้างความเชื่อมั่น ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและแก้ไขปัญหา ต่าง ๆ ในประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลก็พยายามทำหลายอย่างไปพร้อมกัน เพื่อที่จะแก้ไข ตั้งแต่นโยบายการพักหนี้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเป็นระยะเวลา 3 ปี รวมถึงในการออกมาตรการช่วยเหลือและสนับสนุน ซึ่งก่อนหน้านี้แม้ว่าจะมีมาตรการออกมา แต่ก็ยังช่วยเหลือได้ไม่เต็มที่
โดยรัฐบาลมีเงินจำนวน 10 ล้านบาทในการออกนโยบายช่วยเหลือประชาชน ในเรื่องโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่จะนำเงิน 10,000 บาทไปช่วยเหลือคนเหล่านี้ เนื่องจากจะนำเงินไปใช้ทันทีมากกว่าเก็บ ขณะเดียวกัน ก็มีแผนจะแจกเงินอีก 10,000 บาทให้กับคนกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นการจัดลำดับความสำคัญ เพราะต้องการให้เงินนั้นเกิดการสะพัดในระบบเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า สิ่งหนึ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นจุดเด่นของประเทศไทย คือที่ตั้ง เนื่องจากอยู่ตรงกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยมีการเกษตรที่เข้มแข็ง เวลาคุยก็จะพูดถึงความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งนักลงทุนจากต่างประเทศต่างพากันตื่นเต้น และขณะเดียวกัน ตนได้จัดตั้งนโยบายและจัดเตรียมคนที่ทำงานให้กับรัฐบาล รวมถึงข้าราชการก็มีความพร้อมในการทำงานเชื่อมโยงกับประเทศอื่น จึงเป็นจังหวะที่ดีมากในการมาลงทุนในประเทศไทย
เมื่อถามถึงการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า บนเวทีการประชุมต่าง ๆ คำถามที่เจอบ่อยคือพ่อเป็นอย่างไรบ้าง ตนพยายามตอบในมุมธุรกิจ แต่คำถามแรกที่ทุกคนถามคือคุณพ่อเป็นอย่างไรบ้าง ส่วนคำถามที่สองก็คืออาล่ะเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะจากห้องประชุม
นายกรัฐมนตรียังพูดถึงบทบาทของไทยและสหรัฐอเมริกาว่า ตอนที่ตนได้พูดคุยกับตัวแทนของสหรัฐอเมริกาและจีน รวมไปถึงประเทศอื่น ๆ ได้มีการนำเสนอตัวเองในฐานะว่าเป็นทูตของสันติภาพและความมั่งคั่ง นี่คือหลักการของประเทศไทย คือความสงบ สันติ และความมั่งคั่ง
แต่หากมองถึงประธานาธิบดีทรัมป์ มุมมองทางเศรษฐกิจนั้นเปลี่ยน ในภาพของการส่งออก ซึ่งเราจะต้องมีนโยบายที่สนับสนุน โดยพยายามทำให้คนไทยเข้าใจวิธีการ ซึ่งทรัมป์ไม่ได้เป็นปัญหากับเรา เนื่องจากเราส่งออก GDP 10% ไปยังสหรัฐอเมริกา และตนก็พร้อมจะเปิดตลาด พร้อมปรับนโยบาย ซึ่งตนก็ทราบดีว่าทุกคนมีความกังวล รัฐบาลมีการเตรียมตัวเป็นอย่างดี
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ประเทศไทยมีความพร้อมกับการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักธุรกิจในอนาคต ทั้ง Data Center และ Semi Connector และต้องประกาศกับโลกว่าเราพร้อมแล้ว ตอนนี้เรานิ่งแล้ว สงบสุขแล้ว และเชื่อว่าทุกคนต้องการเห็นความก้าวหน้าในระยะยาว และในอีก 5 ปีข้างหน้าผู้คนก็จะหนีจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางได้
โดยรัฐบาลมีการวางแผนไว้ 10 ปี ว่าเราต้องสร้างรากฐานก่อน ไม่ว่ารัฐบาลเปลี่ยน นายกฯเปลี่ยน อยากให้นโยบายจะต้องยึดมั่นกับประชาชน และประโยชน์เหล่านี้จะต้องอยู่กับประชาชนให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ อย่างนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค 20 ปีที่แล้วปัจจุบันก็ยังมีนโยบายนี้อยู่ ตนไม่อยากให้ประโยชน์หมดไปอยู่ที่รัฐบาล หมดชุดหนึ่งก็จบ ไม่ได้ ตนอยากจะสร้างรากฐานเข้าไปให้รากยาว แบบนโยบายที่ได้สร้างขึ้น ก็อยากจะให้อยู่ยาวตลอดไป และตนมั่นใจว่าจะเห็นได้อย่างแน่นอน