
อดีตนายกฯแสดงทรรศนะงาน Forbes บอกชีวิตผ่านมาแล้วทั้งนรก-สวรรค์ ตอนนี้อยู่บนพื้นดิน มองไทยต้อง “ปฏิรูปภาษี” ดึงต่างชาติลงทุนไทย-Negative Income Tax ช่วยผู้มีรายได้น้อย
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 งาน Forbes Global CEO Conference ครั้งที่ 22 ที่โรงแรม The Ritz Carlton, One Bangkok ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน กทม.
นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สนทนาแบบ One-on-One พูดคุยตอบคำถามหลากหลายประเด็นกับสตีฟ ฟอร์บส์ ประธานและบรรณาธิการบริหารของ Forbes Media
นายทักษิณกล่าวตอนหนึ่งว่า ชีวิตเริ่มธุรกิจมาจากศูนย์ ผ่านความยากลำบากมากมายก่อนจะประสบความสำเร็จในโลกของธุรกิจ เห็นนรกก่อนเห็นสวรรค์ในธุรกิจ ขณะที่ในทางการเมืองนั้นเห็นสวรรค์ก่อนนรก
ลงเล่นการเมืองเพราะคิดอยากช่วยเหลือคนยากจน ช่วงประสบความสำเร็จมากเห็นสวรรค์ในการเมือง และเห็นนรกตามมาทีหลัง “นรก สวรรค์คือชีวิตผมเลย มีขึ้นและมีลง” ตอนนี้คิดว่าน่าจะอยู่บนพื้นดินแล้ว ไม่เอาสวรรค์ ไม่เอานรก
อดีตนายกฯระบุว่า ไม่รู้สึกตื่นเต้นกับการถูกฟ้องร้องกล่าวหาจากคดีต่าง ๆ เพราะเห็นทั้งนรกและสวรรค์มาแล้ว วันที่ 22 พฤศจิกายน ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสิน รู้สึกว่าโอเค แค่รอฟังคำตัดสินและก้าวต่อไปข้างหน้า เราไม่ย้อนกลับไปอดีต ไปข้างหน้าอย่างเดียว
นายทักษิณเปรียบเทียบปัญหาอุปสรรคและการผลักดันสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตว่า เวลาไปวัดไหว้พระเพื่อความสงบทางจิตใจ อาจจะมีหมาเห่าระหว่างทางบ้างไม่เป็นอะไร ไปแล้วกลับมานอน
“ระหว่างทางที่จะไปอาจจะมีหมาเห่า แต่คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าทำไมหมาถึงเห่า ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องหมา” เขาบอกว่า 17 ปีที่ไปอยู่ต่างแดน จำเป็นที่จะต้องรักษาความสงบในจิตใจ ถ้าคิดลบเกี่ยวกับตัวเองก็คงอยู่ไม่ได้มาจนถึงตอนนี้
หนุนปฏิรูปภาษี
นายทักษิณกล่าวว่า สนับสนุนการปฏิรูปภาษีอย่างครอบคลุมและเป็นระบบ “การลดภาษี” เป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ ภาษีนิติบุคคลในไทยยังคงสูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ ที่มีอัตราภาษี 17% ช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อัตราภาษีควรลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อสร้างแรงจูงใจต่อการลงทุนของบริษัทต่างชาติ ในขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และจัดทำระบบคืนภาษีให้ผู้มีรายได้น้อยแบบ Negative Income Tax (NIT)
อดีตนายกฯระบุว่า การลดภาษียังช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดเล็กและผู้ประกอบการในประเทศสามารถเติบโตได้ โดยเฉพาะในภาคเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) และซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งเป็นจุดแข็งของไทย
แนะแบงก์ชาติเปิดกว้าง
อดีตนายกฯระบุด้วยว่า 10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยไม่เคลื่อนไปข้างหน้าเพราะการรัฐประหาร ทหารและธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งแต่วิกฤตปี’40 “แบงก์ชาติ” พยายามปกป้องธนาคารพาณิชย์ ผ่านการออกพันธบัตร ซึ่งเป็นการดึงสภาพคล่องออกไป และนั่นคือเหตุผลที่รัฐบาลนี้พยายามฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบ
แบงก์ชาติมี 2 บทบาท คือ 1.ดูแลเสถียรภาพค่าเงิน อัตราแลกเปลี่ยน ดอกเบี้ย 2.กำกับดูแลการธนาคารพาณิชย์ แต่บางครั้งพวกเขาก็ผสมปนเปบทบาททั้ง 2 อย่าง และพยายามเข้มงวดธนาคารพาณิชย์มากเกินไป
สมัยก่อนธนาคารพาณิชย์ใช้คอนเซ็ปต์ของการจับมือกัน เมื่อลูกค้ามีปัญหาก็เข้าไปหาแบงก์ ช่วยเหลือจนลูกค้าดีขึ้น แต่ตอนนี้ธนาคารเก็บเงินไว้ให้กับลูกค้าที่ยังอยู่รอดได้เท่านั้น ไม่ช่วยเหลือลูกค้าที่มีปัญหาเลย นี่คือแนวคิดที่เปลี่ยนไปจากอดีต
บทบาทของแบงก์ชาติควรเป็นอิสระ แต่ต้องรับฟังภาคส่วนอื่น ๆ ที่มีประสบการณ์ คนแบงก์ชาติส่วนใหญ่เป็นนักเรียนระดับหัวกะทิ จบด็อกเตอร์ นักเศรษฐศาสตร์ของพวกเขาเป็นพวกหัวสี่เหลี่ยม ได้เกรด A ทุกวิชา ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าไม่มีใครเก่งกว่าตัวเอง ซึ่งไม่เกี่ยวกันเลย คุณต้องการประสบการณ์ มุมมองและต้องให้ภาคธุรกิจมีส่วนร่วมด้วย