จากแก้รัฐธรรมนูญ ถึง เขากระโดง เกมชักเย่อ เพื่อไทย-ภูมิใจไทย

VS
คอลัมน์ : Politics policy people forum

ปมที่ดินเขากระโดงระหว่างกระทรวงมหาดไทย ที่มี “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย สวมหมวก มท.1 กับกระทรวงคมนาคม ภายใต้การนำของ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม สวมบทราชรถ 1

เหตุเกิดปลายเดือนตุลาคม เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งแต่งตั้งตามคำพิพากษาของศาลปกครอง ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 เพื่อดำเนินการกับหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) บริเวณแยกเขากระโดง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 995 ฉบับ

ให้สำนักงานที่ดินบุรีรัมย์ร่วมกับเจ้าหน้าที่จาก ร.ฟ.ท. ร่วมกันลงพื้นที่ชี้แนวเขตและรังวัดที่ดินบริเวณเขากระโดง 5,083 ไร่ จากนั้นส่งข้อมูลให้คณะกรรมการสอบสวนชุดดังกล่าวพิจารณา

ADVERTISMENT

แต่ปรากฏว่ามติของที่ประชุมคณะกรรมการสอบสวน กลับมีมติเอกฉันท์เมื่อ 22 ตุลาคม ไม่เพิกถอน หรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน ร.ฟ.ท. พร้อมกับส่งหนังสือแจ้งไปยังผู้ว่าการ ร.ฟ.ท.

นับแต่นั้นปมที่ดินเขากระโดงก็ถูกจับตามองว่าเป็นประเด็นการเมือง ภายในพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่

เพราะกระทรวงคมนาคมกับกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงคนละมุมอยู่หลายครั้ง

ADVERTISMENT

“สุริยะ” เจ้ากระทรวงคมนาคมออกมายืนยันเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2567 ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของ ร.ฟ.ท.ตามคำตัดสินของศาล

“ที่ดินตรงนี้เป็นที่ดินของ ร.ฟ.ท. เมื่ออธิบดีกรมที่ดินวินิจฉัยต่างออกมา ร.ฟ.ท.ก็ทำหนังสือไปโต้แย้ง และดำเนินการเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้รับคำตอบว่าเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร”

ADVERTISMENT

ขณะที่ “อนุทิน” กล่าวอีกมุมหนึ่งในวันเดียวกัน แต่คนละห้วงเวลาว่า กรมที่ดินกำลังปฏิบัติตามคำสั่งของศาลปกครอง ซึ่งกรมที่ดินระบุว่า ร.ฟ.ท.ยังพิสูจน์สิทธิไม่ได้ ซึ่งสิ่งที่ ร.ฟ.ท.อุทธรณ์ถือว่าถูกแล้ว

ปมที่ดินเขากระโดง อาจกลายเป็นเกมชักเย่อในพรรคร่วมรัฐบาล ก็เพราะรัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่ได้มีเสียงข้างมากเด็ดขาด

ไม่เหมือนยุครัฐบาลไทยรักไทย ที่มีเสียงมากถึง 377 เสียง เมื่อปี 2548

หรือยุคพรรคเพื่อไทย ที่มีนายกฯชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่กุมเสียงข้างมาก 265 เสียง นำรัฐบาลผสม 300 เสียง

นาทีนี้พรรคเพื่อไทยมีเพียง 142 เสียงในสภา จึงต้องใช้บริการรัฐบาลผสมแบบ “ข้ามขั้ว”

หากเรียงตัวเลขพรรคการเมืองขั้วรัฐบาล พรรคใหญ่ที่สุดคือพรรคเพื่อไทย แต่พรรคที่รองลงมาคือพรรคภูมิใจไทย 70 ที่นั่ง ยังว่ากันว่ายังมีบริการเสริมของ สว.สายสีน้ำเงินที่มีไม่ต่ำกว่า 140-160 เสียงในบางจังหวะ

พรรคภูมิใจไทยจึงถือดุลอำนาจใน 2 สภากว่า 210-230 เสียง

ดังนั้น จึงเห็นเกมการ “ต่อรอง” ระหว่างพรรคเบอร์หนึ่ง กับพรรคเบอร์ 2 ในรัฐบาล

เพราะนอกจากปมที่ดินเขากระโดงแล้ว เกมชักเย่อในรัฐบาลยังเกิดขึ้นอีกหลายหน ตัวอย่างเช่น กระบวนการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ซึ่งจะนำมาใช้ทำประชามติกับการแก้รัฐธรรมนูญ

แต่วุฒิสภาปฏิบัติการสายฟ้าแลบ เปลี่ยนระบบการชี้ขาดประชามติจากเสียงข้างมากชั้นเดียว ซึ่งผ่านที่ประชุมของ สส. มาเป็นระบบเสียงข้างมาก 2 ชั้น

พรรคภูมิใจไทยหนุนหลัง สว.เต็มขั้น โดยทั้ง สส. และ สว.ต้องตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่วม 2 ฝ่ายขึ้นมา เพื่อพิจารณาหาทางออกร่วมกัน

แต่ปรากฏว่ามติที่ประชุม กมธ.มีเสียงข้างมาก 13 ต่อ 9 เสียง ยืนตาม สว.ที่ให้ใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น โดย 2 เสียงของพรรคภูมิใจไทยนั้นใช้สิทธิ “งดออกเสียง” ส่อเค้าลากยาว 8 เดือน

ยังรวมถึงโปรเจ็กต์ยักษ์ของรัฐบาลที่ต้องอาศัยกฎหมาย ก็เกือบจะกลายเป็นเกมชักเย่อ อย่าง Entertainment Complex ที่พรรคภูมิใจไทยเคยตั้งโต๊ะคัดค้าน 4 ประเด็น ก่อนจะกลับลำว่าเห็นด้วย หลังจากนโยบายการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มในทางเศรษฐกิจ นโยบายเรือธงของพรรคภูมิใจไทย บรรจุอยู่ในนโยบายของรัฐบาล

การขับเคี่ยวในสมรภูมิเลือกตั้งท้องถิ่น อย่างเก้าอี้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) ที่พรรคเพื่อไทยต้องใช้ตัวจริงเสียงจริง “ทักษิณ ชินวัตร” มาเป็นผู้ช่วยหาเสียง

ตรึงบ้านใหญ่ให้อยู่กับพรรคเพื่อไทย ไม่ให้ย้ายฝั่ง

เปิดสภา 12 ธันวาคม เกมชักเย่อในทั้งใน-นอกสภา ยังมีอีกหลายยกแน่นอน