
“แพทองธาร” ประชุม ครม.สัญจรนัดแรก จ.เชียงใหม่ ฟื้นท่องเที่ยวหลังน้ำท่วมใหญ่ นักธุรกิจภาคเหนือชงมาตรการการเงินขอแบงก์เยียวยา ขอยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีป้าย 2 ปี พักชำระหนี้เงินต้น-ดอกเบี้ย 12 เดือน-ลดดอกเบี้ย 1% อีก 1 ปี ลดค่างวดการชำระหนี้ลง 50%
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 คณะรัฐมนตรีกำหนดประชุม ครม.สัญจรครั้งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ของนายกรัฐมนตรี และเป็นการเดินทางไปตรวจราชการ มีภารกิจทั้งติดตามปัญหาหมอกควัน ไฟป่า และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ
รวมถึงปัญหายาเสพติดบริเวณชายแดน พร้อมกับเดินหน้าส่งเสริมการท่องเที่ยวภายหลังสถานการณ์อุทกภัย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจภายในพื้นที่ให้เกิดการกระจายรายได้สู่ประชาชน
นอกจากนี้ ในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ที่จังหวัดเชียงราย นายกรัฐมนตรีจะร่วมประชุมคลังสัญจร ครั้งที่ 1/2567 เพื่อฟื้นฟูพื้นที่เศรษฐกิจ และส่งมอบมาตรการช่วยเหลือลดหย่อนด้านภาษีต่าง ๆ ให้ประชาชน ณ ด่านศุลกากรแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
ชงแผนแก้น้ำท่วมเหนือ
ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เตรียมที่จะเสนอแผนรองรับสถานการณ์อุทกภัยในปี 2568 โดยก่อนหน้านี้ที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) ครั้งที่ 4/2567 ได้เห็นชอบแนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วม เมื่อ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
อาทิ เห็นชอบหลักการมาตรการให้ความช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่มของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อนำไปใช้ในการจัดหาวัสดุอุปกรณ์การศึกษา เครื่องแบบ
ตลอดจนซ่อมแซมสถานศึกษา และให้ศึกษาธิการหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อหาข้อสรุปเรื่องความซ้ำซ้อนในการเบิกจ่ายงบประมาณก่อนเสนอ ครม.ต่อไป เห็นชอบแผนการดำเนินงานการขุดลอกเพื่อการป้องกันปัญหาน้ำท่วมในแม่น้ำระหว่างประเทศ (ไทย-พม่า)
จ่ายเยียวยาภายใน ธ.ค.
นายภูมิธรรมกล่าวว่า จะนำข้อสรุปซึ่งคณะทำงานเห็นชอบในหลักการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า รวมถึงงานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณที่จะนำมาใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาเยียวยาให้ได้ภายในเดือนธันวาคม และวางแผนการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 เพื่อเตรียมการรองรับสถานการณ์ฤดูฝน ซึ่งจะต้องทำงานให้เต็มที่ตามกรอบเวลาที่ได้กำหนดไว้
เชียงใหม่ชงลดเงินต้น-ดอกเบี้ย 1 ปี
นายจุลนิตย์ วังวิวัฒน์ ประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กกร.จังหวัดเชียงใหม่กำลังรวบรวมข้อมูลและความต้องการจากผู้ประกอบการภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุม ครม.สัญจร ที่จังหวัดเชียงใหม่
โดยประเด็นสำคัญคือ ภาคการเงิน โดยเฉพาะขอให้ลดดอกเบี้ยพิเศษ 6-12 เดือน, พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมอย่างน้อย 12 เดือน, ปรับลดค่างวดการชำระหนี้ลง 50% และปรับลดดอกเบี้ยลง 1% ต่อปี เป็นเวลา 12 เดือน
รวมถึงการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ อาทิ ให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำกับผู้ประกอบการ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนและฟื้นฟูกิจการ เป็นต้น
โดยขณะนี้ได้ตัวเลขความเสียหายของภาคธุรกิจส่งให้จังหวัดแล้ว และกำลังเร่งรวบรวมข้อมูลให้ครอบคลุมทุกภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กอย่าง SMEs และ Micro SMEs ซึ่งกำลังรวบรวมข้อมูลความเสียหายและความต้องการของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ว่าต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือด้านใดบ้าง ทั้งนี้ คาดว่าความเสียหายทั้งหมดของทุกภาคธุรกิจของจังหวัดเชียงใหม่จะอยู่ที่ราว 5,000 ล้านบาท
นายจุลนิตย์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ จะนำเสนอและเร่งรัดให้รัฐบาลติดตามเมกะโปรเจ็กต์ของจังหวัดเชียงใหม่ อาทิ โครงการสนามบินล้านนาแห่งที่ 2 ซึ่งภาคเอกชนอยากให้รัฐบาลเร่งรัดให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ซึ่งจะได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจทั้งจังหวัดเชียงใหม่-ลำพูน และกลุ่มจังหวัดภาคเหนือทั้งหมด
รวมถึงการเร่งรัดโครงการระบบขนส่งมวลชน (โครงการรถไฟฟ้ารางเบา), การขยายเส้นทางที่มีการออกแบบไว้แล้ว โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างทางยกระดับแยกเหมืองง่า จังหวัดลำพูน เพื่อให้การจราจรเข้าสู่จังหวัดเชียงใหม่มีความคล่องตัวมากขึ้น
กกร.ขอเว้นภาษีที่ดินฯ 2 ปี
นายหัสนัย แก้วกุล ประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) และประธานหอการค้ากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 กล่าวว่า ข้อเสนอในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและแก้ปัญหาต่อการประชุม ครม.สัญจร ประกอบด้วย
1.เร่งรัดฟื้นฟูด้านการเกษตร โดยเฉพาะข้าวนาปีและนาปรังซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก เสนอให้จัดหาพันธุ์ข้าวนาปรังที่ใช้น้ำน้อย เก็บเกี่ยวเร็ว และให้ผลผลิตสูง เพื่อทดแทนความเสียหายจากอุทกภัย รวมถึงสนับสนุนปัจจัยการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ที่ผ่านการรับรองโดยกรมวิชาการเกษตร เพื่อยกระดับคุณภาพและราคาของผลผลิต
2.การส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณในการจัดงานมหกรรม งานเทศกาลอาหาร ดนตรี การแข่งขันทางวิชาการ และกีฬา เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวให้เกิดขึ้นทุกเดือนตลอดปี
3.ลดค่าสาธารณูปโภค ได้แก่ ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า และน้ำมัน เพื่อลดค่าใช้จ่ายของประชาชน ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องของภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
4.การยกเว้นภาษี เสนอให้ยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงภาษีป้ายเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งภาระภาษีมีผลกระทบอย่างมากต่อผู้ประกอบการในช่วงที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ