
กลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ในรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร เมื่อวิทยากรพิเศษ ที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในงานสัมมนาพรรคเพื่อไทย ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ส่งสัญญาณเด็ดขาดถึงพรรคร่วมรัฐบาลว่า
“เมื่อ 2 วันก่อนมีพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เกี่ยวกับมาตรการทางภาษีระหว่างประเทศเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปรากฏว่ามีพรรคร่วมบางพรรคหลบ ป่วย อย่างนี้ไม่ใช่เลือดสุพรรณนี่หว่า ถ้าอยู่ด้วยกันก็ต้องด้วยกันสิ วันหลังไม่อยากอยู่ต้องบอกให้ชัดเจน”
“เราเป็นคนพูดรู้เรื่อง ห้ามหนี ต่อไปใครหนีก็บอกว่าถ้าหนีก็ส่งใบลาออกมาด้วย ง่ายดี ผมเป็นคนเกลียดพวกอีแอบ ตรงไปตรงมาง่าย ๆ อยู่ก็อยู่ ไม่อยู่ก็ไม่ต้องอยู่ ถ้าอยู่ก็ต้องสู้ด้วยกัน ในเมื่อเป็นนโยบายรัฐบาลร่วมกัน แถลงนโยบายคุณยกมือเห็นด้วย พอได้เก้าอี้รัฐมนตรีค่อย ๆ หลบมือออก ไม่ได้ ต้องตรงไปตรงมา”
สัญญาณดังกล่าวถูกถอดรหัส แล้วพุ่งเป้าไปยัง “ภูมิใจไทย” เพราะวันนั้น มีรัฐมนตรีที่ลา ครม.ถึง 7 คน และมีคนของพรรคภูมิใจไทยลาถึง 3 คน
จากชื่อที่ปรากฏในการ “ลาประชุม” มี 7 คน จากโควตารัฐมนตรี 3 พรรค ประกอบด้วย
พรรคภูมิใจไทย มีรัฐมนตรีลาประชุม
1.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย
2.นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย
3.นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธิการ
พรรครวมไทยสร้างชาติ
1.นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน
2.นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์
โควตาพรรคเพื่อไทย
1.นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ
2.นายอัครา พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์
อย่างไรก็ตาม “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายก รัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวผ่านรายการข่าวเที่ยงทางไทยพีบีเอส ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กล่าวกลางงานสัมมนาพรรค พท. ตำหนิพรรคร่วมบางพรรคหนีประชุม พ.ร.ก.เกี่ยวกับมาตรการทางภาษีระหว่างประเทศว่า ไม่น่าจะหมายถึงตนหรือพรรคภูมิใจไทย เนื่องจากในวันดังกล่าวได้เข้าพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการ ไม่ทราบว่ามีการเลื่อนประชุมเป็นวันที่ 11 ธ.ค. เพราะปกติ ครม.ประชุมทุกวันอังคาร
ระหว่างพบแพทย์เพื่อทำการตรวจ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์เพื่อตามให้เข้าประชุม เนื่องจากมีการพิจารณากฎหมายสำคัญ หลังจากตรวจเสร็จรีบเข้าประชุม ครม.ทันที อีกทั้งรัฐมนตรีหลายคนของพรรคเข้าร่วมประชุมในวันนั้น เว้นแต่ผู้ที่ติดภารกิจราชการ จึงไม่อยากให้เชื่อมโยงมาถึงพรรคภูมิใจไทย
“ท่านทักษิณ พูดถึงพรรคที่ไม่เข้าร่วมประชุม ผมก็ไม่นำพาไปฟังอะไรมาก เพราะผมไปร่วมประชุม”
“พรรคภูมิใจไทย รับสัญญาณจากนายกรัฐมนตรี คือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เพราะนางสาวแพทองธาร คือ หัวหน้ารัฐบาล” อนุทิน กล่าว
ขณะที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวว่า “ผมไม่มั่นใจว่าเป็นพรรคภูมิใจไทยทั้งหมดหรือไม่ เพราะวันนั้นมี ครม.ติดภารกิจหลายคน แต่ก็เห็นนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเข้ามาประชุม จึงไม่แน่ใจว่าเรื่องอะไร เพิ่งมาเอะใจก็ตอนที่ได้ฟังแต่คิดว่าไม่มีอะไร เพราะเห็นนายอนุทินมานั่งประชุมตามปกติ”
อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวจากที่ประชุม ครม. ระบุว่า แม้ว่านายอนุทินจะลาประชุม แต่ได้เข้าประชุมในช่วงหลัง โดยเฉพาะเข้าประชุมในช่วงที่มีการพิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ด้วย ขณะที่รัฐมนตรีคนสำคัญของพรรคภูมิใจไทยที่ไม่ได้ลาประชุม ก็ร่วมประชุม ครม.ตามปกติ อาทิ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ
ทั้งนี้ พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) 1 ฉบับเกี่ยวกับการปฏิรูปภาษีนิติบุคคลในไทย คือ พ.ร.ก.ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ… ของกระทรวงการคลัง
และพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ฉบับที่..) พ.ศ… ของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
ซึ่ง กฎหมายทั้ง 2 ฉบับเป็นไปตามเกณฑ์ของ OECD ภายใต้มาตรการ Pillar 2 เพื่อดำเนินการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมจากบริษัทที่เข้าตามมาตรการต้องเสียภาษีขั้นต่ำ (Global Minimum Tax : GMT) ในอัตรา 15% และส่งเงินภาษีบางส่วนที่จัดเก็บได้ให้กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยอยู่ระหว่างการเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD
แหล่งข่าวจากที่ประชุม ครม.วิเคราะห์ว่า พ.ร.ก.ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ… ที่เสนอโดยกระทรวงการคลัง ไม่ได้มีความอันตรายใด ๆ แต่คนที่ลาประชุม อาจเห็นว่าการอนุมัติ พ.ร.ก.ฉบับดังกล่าว เพื่อจัดเก็บภาษีขั้นต่ำ 15% นั้น อาจเกรงว่าไม่เข้าเงื่อนไขมีความจำเป็นเร่งด่วน ที่จะตราเป็น พ.ร.ก.ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 172
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 172 บัญญัติข้อความที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่และอำนาจในการตรา พ.ร.ก.ในวรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม ว่า ในกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ พระมหากษัตริย์จะทรงตราพระราชกำหนดให้ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติก็ได้
การตราพระราชกำหนดตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำได้เฉพาะเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉิน
ที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้
ในการประชุมรัฐสภาคราวต่อไป ให้คณะรัฐมนตรีเสนอพระราชกําหนดนั้นต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณา โดยไม่ชักช้า ถ้าอยู่นอกสมัยประชุมและการรอการเปิดสมัยประชุมสามัญจะเป็นการชักช้า คณะรัฐมนตรี ต้องดําเนินการให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติพระราชกําหนดโดยเร็ว ถ้าสภาผู้แทนราษฎรไม่อนุมัติหรือสภาผู้แทนราษฎรอนุมัติแต่วุฒิสภาไม่อนุมัติและสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันการอนุมัติด้วยคะแนนเสียงไม่มากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ให้พระราชกําหนดนั้นตกไป แต่ทั้งนี้ไม่กระทบต่อกิจการที่ได้เป็นไปในระหว่างที่ใช้พระราชกําหนดนั้น
สัญญาณ “ทักษิณ” จึงสั่นสะเทือนพรรคร่วมรัฐบาลในเวลานี้