
พรรคเพื่อไทยจัดสัมมนา “เสริมศักยภาพ สส.และบุคลากรทางการเมือง” ที่โรงแรมคอนติเนนทัล หัวหิน เมื่อ 13 ธ.ค. ระดมแกนนำและ สส.นั่งรถไฟไปลงที่หัวหิน
วันนั้น นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นเวที และพูดถึงการเมืองหลายแง่มุม หลายเรื่อง เรียกเสียงฮือฮาจากแวดวงการเมือง
ตอนหนึ่ง อดีตนายกฯทักษิณพูดว่า “สองวันก่อน (11 ธ.ค.) มี พ.ร.ก.เกี่ยวกับมาตรการทางภาษีระหว่างประเทศ เข้าที่ประชุม ครม. ปรากฏว่ามีพรรคร่วมบางพรรคหลบ ป่วย”
“อย่างนี้ไม่ใช่เลือดสุพรรณนี่หว่า ถ้าอยู่ด้วยกันก็ต้องด้วยกันสิ วันหลังไม่อยากอยู่ต้องบอกให้ชัดเจน เราเป็นคนพูดรู้เรื่อง ห้ามหนี ต่อไปใครหนีก็บอกว่าถ้าหนีก็ส่งใบลาออกมาด้วย ง่ายดี”
“ผมเป็นคนเกลียดพวกอีแอบ ตรงไปตรงมาง่าย ๆ อยู่ก็อยู่ไม่อยู่ก็ไม่ต้องอยู่ ถ้าอยู่ก็ต้องสู้ด้วยกัน ในเมื่อเป็นนโยบายรัฐบาลร่วมกัน แถลงนโยบายคุณยกมือเห็นด้วย”
“พอได้เก้าอี้รัฐมนตรี ค่อย ๆ หลบมือออก ไม่ได้ ต้องตรงไปตรงมา” เป็นข้อเรียกร้องจาก “อดีตนายกฯทักษิณ”
นักข่าวนำเอาชื่อของ รมต.ที่ไม่ได้เข้าประชุมมาโชว์ ซึ่งมีอยู่ 2-3 พรรค ก่อนสรุปกันว่าพรรคที่ถูกหวย สงสัยจะเป็นรวมไทยสร้างชาติ
ก่อนวิ่งไปถาม “เสี่ยขิง” นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้รับคำตอบเป็นรอยยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ทราบ”
พร้อมกับแจงว่า ประชุม ครม.วันดังกล่าว ตนเองอยู่ในที่ประชุม และยกมือสนับสนุน พ.ร.ก. 2 ฉบับ เพราะเป็นเรื่องสำคัญและเกี่ยวเนื่องกับกระทรวงอุตสาหกรรม จะรอช้าไม่ได้ และยังพูดในที่ประชุมว่า สนับสนุน และขอให้ใช้เงินกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ ใช้สิทธิประโยชน์ ซึ่งจะเป็นอาวุธอีก 1 ตัว ดึงนักลงทุนใหม่ ๆ มาได้
สำหรับ “รมต.เอกนัฏ” กับพรรคเพื่อไทย หากไปถามแกนนำพรรคเพื่อไทย จะพบว่า ไม่ได้ติดใจหรือมีข้อข้องใจระหว่างกัน เพราะที่ผ่านมา มีการประสานงานช่วยเหลือกันด้วยดีมาตลอด
เรียกว่า วางตัวเหมาะสมกับการเป็นผู้นำพรรคร่วมรัฐบาล ดังนั้น ปัญหาไม่น่าจะมาจากตรงนี้ บุคคลตามคำกล่าวของอดีตนายกฯทักษิณ จึงน่าจะหมายถึงบุคคลอื่น ที่มีปัญหาการวางตัวและการกำหนดบทบาทมาพักใหญ่
แวดวงพรรคร่วมรัฐบาลจึงคาดหมายว่า โทษฐานที่ไม่ “เลือดสุพรรณ” มาด้วยกันต้องพร้อมไปด้วยกัน อาจเกิดรายการปรับ ครม. แล้วเปลี่ยนแปลงเก้าอี้รัฐมนตรีบางตำแหน่ง
คงจะไม่ปรับเปลี่ยนแบบยกโขยงออกทั้งพรรค เพราะการทำงานของ รมต.อื่น ๆ ยังเป็นไปด้วยดี และที่มีการวิเคราะห์กันว่า อาจจะเกิดการยุบสภา ทางออกของเรื่องนี้คงไม่ถึงขนาดนั้น
เพราะเป็นเรื่องของตัวบุคคลไม่ใช่ปัญหาระหว่างพรรค น่าจะตัดจบได้ในขอบเขตที่จำกัด ไม่ให้ลุกลามเป็นเรื่องใหญ่ ตอนนี้ก็ต้องนั่งรอดู ว่าจะเกิดรายการ “ส่งใบลาออก” กันหรือไม่
…และเรื่องจะจบแบบไหน ยังไง