ส่องหลายมุมมองต่อกฎหมาย ‘สถานบันเทิงครบวงจร’

Entertainment Complex

ส่องมุมมอง-ความเห็นจากหลายภาคส่วน หลัง ครม.ไฟเขียวร่าง พ.ร.บ. Entertainment Complex

กลายมาเป็นที่ฮือฮาบนอีกครั้ง หลัง ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. … ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทางกฤษฎีกาจะรวบรวมความเห็นต่าง ๆ และนำเสนอรัฐสภา เพื่อพิจารณาในวาระรับหลักการ (วาระที่ 1) ทำให้ผู้มีชื่อเสียงจากหลายภาคส่วนออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้มากมาย

ประชาชาติธุรกิจ รวบรวมมุมมองจากหลายภาคส่วนบนโลกออนไลน์ไว้ ดังนี้

เพจดังขอค้าน ไม่ยอมรับภาษีบาป

อวยไส้แตกแหกไส้ฉีก แฟนเพจนำเสนอภาพยนตร์ และไลฟ์สไตล์ ไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้ โดยตนมองว่า เป็นการสร้างความเจริญและหารายได้จากภาษีบาป สิ่งเหล่านี้ไม่ควรมาอยู่ในประเทศไทย เพื่อนบ้านเราที่ไม่ประสบความสำเร็จกับเรื่องนี้ก็ต้องแปรสภาพพื้นที่เหล่านั้นไปเป็นบ่อนออนไลน์ และกลายเป็นศูนย์คอลเซ็นเตอร์

รายได้ด้านภาษีจากกาสิโนก็ไม่ได้เยอะเมื่อเทียบเท่ากับความเสียหายในสังคม และตนไม่คิดว่าลูกหลานในประเทศจะภูมิใจกับการทำงานในบ่อน และผลประโยชน์จากกาสิโนถูกกฎหมายก็คงไม่ได้มากเท่าผลเสีย ในทางกลับกัน ตนอยากให้หันไปเสริมสร้างการศึกษา หรือการกีฬามากกว่า เพื่อต่อยอดเยาวชนในชาติให้พัฒนา

นอกจากนี้ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า สิ่งที่ตามมา คือ ธุรกิจสีเทา การค้ามุษย์ และไม่มีอะไรการันตีได้ว่า เมื่อทำให้ถูกกฎหมายแล้ว บ่อยที่ผิดและที่อยู่ตามท้องถิ่นจะหายไป อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฟอกเงินที่ง่ายที่สุด

ADVERTISMENT

ข้อความระบุว่า “ผมขอคัดค้านโครงการ Entertainment Complex หรือคาสิโน ถูกกฎหมายครับ…

แม้การตั้งชื่อมันจะเรื่องเรียกว่าเป็นแหล่งบันเทิงครบวงจรแต่จริง ๆ มันก็คือบ่อนคาสิโนนั่นแหละครับ ผมว่าวิธีคิดหรืออะไรก็แล้วแต่ที่บอกว่าอยากแก้ปัญหาเรื่องบ่อนก็เลยเปิดบ่อนให้มันถูกกฎหมาย ฟังดูแล้วมันเหมือนกับอยากสร้างความเจริญและหารายได้จากภาษีบาป

ADVERTISMENT

แต่สิ่งที่มันจะตามมาผมพูดตรงตรงนะครับผมว่าหลายหลายคนอาจจะไม่ชอบในความคิดเห็นของผมและอาจจะมองว่าผมหัวโบราณ สิ่งเหล่านี้มันควรเข้ามาอยู่ในบ้านเราหรอครับ ประเทศในแถบนี้หลายหลายประเทศพยายามสร้างบ่อนคาสิโนแล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จอย่างประเทศเพื่อนบ้านก็ต้องแปรสภาพจากบ่อนคาสิโนไปทำเป็นบ่อนออนไลน์ และก็กลายเป็นศูนย์คอลเซ็นเตอร์

มีคนบอกว่ามันจะสร้าง GDP ให้กับประเทศซึ่งจริงๆทางสภาพัฒน์ก็ออกมาแล้วนะว่า GDP ของประเทศเค้าจะไม่รับรายได้จากคาสิโน และจากงานวิจัยเราสามารถเก็บภาษีได้จากบ่อนคาสิโนประมาณ 10,000 ถึง 30,000 ล้าน สร้างงานได้ประมาณ 9,000 ถึง 15,000 ตำแหน่ง

ซึ่งเอาจริง ๆ ถือว่ามันไม่ได้เยอะเลยครับถ้าเทียบกับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับสังคม คืออย่าเอาเรื่องกันสร้างงานสร้างอาชีพสร้างรายได้มาอ้างเลยครับผมถามจริงๆงานในบ่อนมันจะเป็นงานอะไรเหรอครับทำความสะอาดหรืองานแจกไพ่

อีกหน่อยลูกหลานเราโตไปถามว่าทำงานที่ไหนทำงานในบ่อนมันน่าภูมิใจมากเลยเหรอครับ ประชาชนในประเทศมันได้ผลประโยชน์จากการมีบ่อนคาสิโนถูกกฎหมายได้มากมายขนาดนั้นจริง ๆ เหรอครับผลได้มันมากกว่าผลเสียหรอครับ

สิ่งดี ๆ อะไรที่มันดีๆทำไมไม่สร้างกันบ้างครับ สร้างอะไรที่ส่งเสริมการศึกษาการกีฬาก็ได้ครับ สร้างฮอลล์จัดคอนเสิร์ต สร้างฮอลล์สำหรับแสดงดนตรีคลาสสิก สร้างศูนย์กีฬา ทำไมไม่สร้างครับ สนามกีฬาขนาดใหญ่มีมาตรฐาน ฮอลล์คอนเสิร์ตที่มาตรฐานที่ดี ทำไมไม่สร้างครับ สนามกีฬาใหญ่ใหญ่ก็น่าจะสร้าง อะไรที่มันจะต่อยอดทำให้เยาวชนในชาติของเราพัฒนา แต่นี่คือมาเปิดบ่อนคาสิโน

และสิ่งที่ตามมาก็คือธุรกิจสีเทาไปจนถึงการค้ามนุษย์ ศูนย์บันเทิง นักเลงการพนันคนเข้าบ่อนเดี๋ยวก็ต้องเข้ามาหาผู้หญิงเข้ามาหาคนไปทำอาชีพบริการ สุดท้ายก็ตามมาด้วยการค้ามนุษย์ และที่สำคัญผมถามจริงๆ มาเฟียบ่อนการพนันทุกวันนี้ถ้ามีบ่อนคาสิโนถูกกฎหมายที่มีเจ้ามือเป็นรายใหญ่แล้วเค้าจะเลิกทำบ่อนผิดกฎหมายเหรอครับ

เราเคยบอกว่าปัญหาของประเทศไทยอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย และถ้ามีบ่อนคาสิโนมีอะไรการันตีครับ ว่าบ่อนการพนันที่ผิด บ่อนการพนันท้องถิ่นมันจะหายไปเลย

และอีกเรื่องหนึ่งสำคัญที่สุดมันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฟอกเงินที่ง่ายที่สุดเลยก็ได้ครับ ปีที่แล้วเรามีสารพัดแม่สารพัดเครือข่ายหรือคนที่ที่รวยแปลกแปลกเยอะมากต่อไปก็คือจบลงด้วยการบอกว่าไปเข้าบ่อนมาจบ มันจะทำให้คนรวยประหลาดประหลาดขึ้นมาเยอะมากครับ

มีคนอ้างว่าอาจจะมีการคัดกรองผู้เล่น คนเล่นต้องมีเงินเยอะเยอะ และสุดท้ายการบังคับใช้กฎหมายในประเทศเรามันสามารถทำได้เหรอครับ บางคนอาจจะบอกว่าเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวเล่นแต่สุดท้าย มันทำได้แน่หรอครับผมไม่เคยเชื่อเลยครับว่าถ้ามีบ่อนในประเทศแล้วการพนันในประเทศมันหมดไปมันเป็นไปไม่ได้ครับ

อบายมุขมันไม่ควรเป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้วครับ ผมไม่เห็นด้วยนะครับกับการเปิดบ่อนคาสิโนในประเทศไทย ไม่เห็นด้วยจริง ๆ

ผมถามว่าถ้ามันดีตอนเลือกตั้งผมก็ไม่เห็นพรรคไหนเอานโยบายนี้มาใช้ในการหาเสียงเลยแต่ทำไมพอเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วกลับสอดไส้เอากฎหมายนี้เข้ามา มีการทำประชาพิจารณ์ตอนไหน มีการไปถามความเห็นประชาชนตอนไหน เอาเป็นว่าส่วนตัวไม่สนับสนุนเลยครับและรู้สึกไม่ค่อยสบายใจด้วยครับที่จะมีผ่อนการพนันที่ถูกกฎหมายขึ้นมาในประเทศไทยเพราะผมรู้เลยว่าปลายทางมันคือความพินาศของประเทศ

คนอาจจะมองว่าเป็นการแก้ปัญหาแบบทันสมัยแต่ส่วนตัวผมคิดว่าเรื่องแบบนี้เลี่ยงได้ก็เลี่ยงเถอะครับ อย่ามองว่าเป็นเรื่องที่ดีกันเลยครับ

สุดท้ายผมก็ยอมรับนะครับว่าผมอาจจะเป็นแค่เสียงเล็กๆที่มองว่ามันเป็นเรื่องที่จะทำให้ประเทศชาติเสียหายแต่ผมก็ขอแสดงจุดยืนในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่ไม่อยากเห็นอนาคตของชาติจะต้องมาเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้ก็ขอคัดค้านด้วยความซื่อสัตย์ต่อความคิดเห็นของตัวเองแม้จะมีคนเข้ามาหัวเราะเยาะว่าผมโง่หรืออาจจะไม่เท่าทันโลกแต่ไม่เป็นไรครับ

ผมถือว่าผมได้แสดงจุดยืนของผมในส่วนนี้สุดท้ายนี้เสียงเล็กๆของผมมันก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่ดีถ้าเค้าดึงดันจะทำ ยังไงก็เคารพทุกๆความคิดเห็นผมก็เชื่อครับว่าในความคิดเห็นมันมีหลายมุมมองครับแต่ผมก็ก็คือมุมมองหนึ่งที่ขอร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยในสังคมก็เท่านั้นเองครับ”

อดีตนายกฯ คนที่ 14 ลั่นไม่คุ้ม

นิติกร กรัยวิเชียร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ลูกชายของธานินทร์ กรัยวิเชียร อดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 14 บอกเล่าเรื่องราวที่ได้รับฟังจากพ่อ ใจความว่า พ่อเคยเล่าให้ตนฟังว่า คนมีชื่อเสียงระดับนานาชาติมาพบที่ทำเนียบฯ เพื่อเสนอโครงการเปิดบ่อยกาสิโนในเมืองไทย โดยอ้างว่าจะสร้างรายได้และความเจริญให้กับประเทศ แต่พ่อของตนกล่าวว่า ไม่คุ้มค่ากับผมกระทบมหาศาลมีที่จะตามมา

นิติกรเล่าผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Nitikorn Kraivixien ข้อความระบุว่า “คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อปี 2520 ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี มีนักการเมืองที่รู้จักคุ้นเคยขอพาคนไทยที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติท่านหนึ่งมาพบที่ทำเนียบรัฐบาล โดยแจ้งว่ามีโครงการที่ดีเลิศจะมานำเสนอ หลังจากการสนทนาผ่านไปเพียงครู่เดียวก็ได้ความว่าจะเสนอขอให้เปิดบ่อนคาสิโนในเมืองไทย โดยอ้างว่าจะสร้างรายได้มหาศาลและความเจริญมาสู่ประเทศไทย

ซึ่งประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกก็ประสบความสำเร็จมาแล้วทั้งนั้น คุณพ่อตัดบทอย่างสุภาพว่าไม่ได้ รายได้ที่อ้างว่าจะได้รับ ไม่คุ้มค่ากับผลกระทบอย่างมหาศาลที่จะตามมา นักการเมืองที่มาพบยื้อว่าลองเอาเรื่องเข้าไปพิจารณาในคณะรัฐมนตรีก่อนมั้ย เผื่อ ครม. ท่านอื่น ๆ จะเห็นด้วย

คุณพ่อ(ซึ่งได้รับฉายาจากสื่อสมัยนั้นว่าเป็น “เผด็จการพลเรือน”) กล่าวตอบอย่างหนักแน่ว่า “เรื่องนี้ผมตัดสินใจเองได้ ไม่จำเป็นต้องถามใคร และไม่ต้องเอากลับเสนอมาอีก” มาเล่าสู่กันฟังเฉย ๆ โดยไม่มีนัยใด ๆ”

เจิมศักดิ์ไม่เอากาสิโน

รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อาจารย์พิเศษประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ, ประธานกรรมการนโยบายขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ออกความเห็นในเรื่องนี้ผ่านเฟซบุ๊กส่วตัว เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ข้อความระบุว่า

“ร่วมเป็น 1 เสียง แสดงจุดยืนว่า “เราไม่เอากาสิโน”

จากการที่รัฐบาลประกาศเดินหน้าผลักดันพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) อันมีกาสิโนเป็นส่วนประกอบหลักเข้าสู่รัฐสภา กฎหมายนี้จะเปิดช่องให้เปิดกาสิโนได้อย่างเสรี และก่อให้เกิดผลกระทบทางสังคมทั้งปัญหาอาชญากรรม การฟอกเงิน การทุจริตคอรัปชั่น การประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย ฯลฯ

หากคุณคือคนไทยคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการมีกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทย กรุณาร่วมกันส่งเสียงต่อรัฐบาลผ่านการลงชื่อแสดงจุดยืนว่า “เราไม่เอากาสิโน” ได้ที่

อดีต สส.เพื่อไทย ชี้แท้จริงคือ บ่อน

สามารถ แก้วมีชัย อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย, อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย สังกัดพรรคเพื่อไทย ออกมาให้ความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึง 2 โพสต์ ใจความว่า แทนที่จะมีการปราบปรามการพนัน แต่รัฐบาลกลับส่งเสริมให้เล่นได้ถูกกฎหมายผ่านนโยบาย Entertainment Complex

ก่อนที่จะอธิบายเพิ่มในอีกโพสต์ ถึงความต้องการให้รัฐบาลกล้ายอมรับว่า นโยบายสถานบันเทิงครบวงจรที่บอกว่าบ่อนการพนัน เป็นส่วนประกอบเพียง 10% ของโครงการนั้น แท้ที่จริงบ่อนการพนันที่เป็นหัวใจสำคัญของนโยบายนี้ โดยสามารถโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว สามารถ แก้วมีชัย ข้อความระบุว่า

“แทนที่จะปรามการเล่นการพนัน อันเป็นอบายมุขอย่างหนึ่ง ที่จะนำความหายนะมาสู่ผู้คนในสังคม กลับจะส่งเสริมให้เล่นการพนันได้โดยถูกกฎหมาย โดยผ่านนโยบาย entertainment complex ของรัฐบาล”

“กล้าทำต้องกล้ารับ
การพนัน เป็นหนึ่งในอบายมุข 6 ตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา
ขอบันทึกไว้ว่า เมื่อวันจันทร์ที่ 13 ม.ค.2568 คณะรัฐมนตรี ภายใต้การนำของนายกฯแพรทองธาร ชินวัตร ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ดำเนินนโยบายจัดให้มีสถานบันเทิงครบวงจร ตรงกับวันพระ วันพระจันทร์เต็มดวง ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 2 พอดี

คนในรัฐบาลควรยอมรับความจริงว่า นโยบายสถานบันเทิงครบวงจร (entertrainment complex) ที่บอกว่าบ่อนการพนัน เป็นส่วนประกอบเพียง 10% ของโครงการนั้น แท้ที่จริงบ่อนการพนัน คือหัวใจสำคัญของนโยบายนี้

ประเทศเรามีภัตตาคาร ร้านอาหาร ร้านกาแฟ โรงแรมที่พัก สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้า แหล่งช้อปปิ้ง โรงละคร สถานที่แสดงศิลปวัฒนธรรม สวนสนุกสำหรับเด็ก สถานที่พักผ่อนหย่อนใจฯลฯ ระดับมาตรฐานจำนวนมาก กระจายอยู่ทั่วประเทศ ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกใช้บริการอยู่แล้ว

ล้วนเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ที่ไม่นิยมอบายมุขประเภทการพนันเลือกใช้บริการได้อย่างเต็มที่ได้ อย่างมีความสุข

เมื่อมีแหล่งรื่นเริงบันเทิงอันเป็นของดีที่ได้มาตรฐานสำหรับดึงดูดนักท่องเที่ยวกระจายอยู่ทั่วประเทศอย่างพอเพียงแล้ว ทำไมต้องสร้างสถานบันเทิงครบวงจร (entertrainment complex) ขึ้นมาอีก

จึงมีเหตุผลเดียว คือ ต้องการให้มีบ่อนการพนัน หรือเรียกให้โก้หรูหน่อยว่า บ่อนคาสิโน ซึ่งจะเป็นต้นเหตุสร้างปัญหาและส่งผลกระทบต่อสังคมไทยอีกมากมายหลายประการ ดังนั้นควรยอมรับ อย่าพูดเล่นลิ้นหรือหลบเลี่ยงกันเลยว่า อยากให้มีบ่อนการพนันเสรีขึ้นในประเทศไทย

กล้าทำ ก็ต้องกล้ารับผิดชอบครับ”

โอกาสแสนล้าน

สำหรับโครงการดังกล่าว นายกฯ แพทองธาร ระบุอย่างมั่นใจว่า โครงการนี้คือ 1 ในการสนับสนุนการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน หรือว่าให้เป็น man-made destinations ตามที่เคยแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไป นอกจากนี้ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการท่องเที่ยว และส่งเสริมการลงทุนในประเทศ อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาการพนันที่ผิดกฎหมายในปัจจุบัน จะทำให้เกิดผลดีในอนาคตในภาพรวม

พร้อมเน้นย้ำว่า “ต้องยอมรับความจริงว่าทุกวันนี้มีการพนันเต็มไปหมด จะแก้เรื่องผู้มีอิทธิพลก็เอามาทำให้ถูกกฎหมายทั้งหมด” แพทองธารกล่าว

ขณะที่จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า แม้การพนันอาจไม่ทำให้เกิดการหมุ่นเวียนทางเศรษฐกิจที่ถูกต้อง แต่ตนยืนยันว่ามีผลต่อเศรษฐกิจอย่างแน่นอน เนื่องจากมูลค่ากว่าแสนล้าน ซึ่งตัวเลขนี้เป็นเพียงการประเมินเรื่องของการลงทุน ยังไม่ใช่ผลพลอยได้

เนื่องจากโครงการที่จะทำ จะมีธุรกิจเกี่ยวเนื่องอีกมากมายที่จะสร้างรายได้ให้กับประชาชนโดยรอบ และรายได้ที่จะเข้ารัฐบาล รวม ๆ แล้วประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาทต่อปี และจะสามารถดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศได้เพิ่มขึ้น 5-20% รวมทั้งยังช่วยเพิ่มรายได้ต่อหัวนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้ถึงประมาณ 60,000 บาทต่อคนต่อทริป จากเดิมที่มีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 40,000 บาทต่อคนต่อทริป

รวมถึงทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวผ่านงาน ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Chat with Tony : Bull Rally of Thai Capital ถึงโครงการนี้ว่า เป็น 1 ในโอกาสทางเศรษฐกิจ ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่งรับหลักการไปและจะนำกฎหมายเข้าสภาผู้แทนราษฎรต่อไป คาดว่าจะมีการลงทุนกว่า 5 แสนล้านบาท 

ทั้งยังเสนอแนวคิดการเชิญชวนชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น และจูงใจให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นเดียวกัน