
คอลัมน์ : ชั้น 5 ประชาชาติ ผู้เขียน : ณัฐวุฒิ ประชาชาติ
ในวันที่ 20 มกราคม 2568 “โดนัลด์ ทรัมป์” จะเข้าพิธีสาบานตน กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา รอบ 2
ไทย เตรียม “ตั้งรับ” เพราะไทยอยู่ในลิสต์ที่เกินดุลสหรัฐ เป็นลำดับต้น ๆ ในบัญชี ที่จะเจอกับนโยบายกำแพงภาษีของ “ทรัมป์”
นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี บอกว่า เราทำการบ้านไว้ล่วงหน้า ดูว่าการค้าอะไรที่อยู่ในภาวะเสี่ยง เราก็ป้องกันเสีย ที่สำคัญคือมีการเจรจาการค้า นอกเหนือจากเรื่องนี้ เรานำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกา ที่เราจำเป็นอย่างไรได้บ้าง กระตุ้นการลงทุนที่มีอยู่แล้วในรัฐที่เขาอยากได้ เราก็จะเร่งการลงทุนต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ลงทุนในรัฐที่รัฐบาลสหรัฐให้ความสำคัญ รวมถึงเรื่องการเจรจาทางการค้าทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ขณะที่ พงศ์เทพ เทพกาญจนา หนึ่งในคณะที่ปรึกษานโยบายนายกรัฐมนตรี หรือที่เรียกว่า “กุนซือบ้านพิษณุโลก” กล่าวในทางเดียวกันว่า เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามาเป็นประธานาธิบดี ทำให้เราต้องมาปรับยุทธศาสตร์เหมือนกัน เพราะต้องหาทางว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ทรัมป์มาขึ้นภาษีประเทศไทย เราจะเจรจาอย่างไร เช่น ลงทุนในอเมริกาในจุดที่เขาต้องการให้เราลงทุน
เพราะทรัมป์ก็มีแฟนคลับของเขา ซึ่งเป็นพวกแรงงาน บริษัทไทยก็ไปสร้างงานตรงนั้นได้ ก็ยื่นหมูยื่นแมวกัน ทรัมป์เป็นนักเจรจา เราก็ต้องดูช่องทางว่าทำอย่างไรให้กระทบเราน้อยที่สุด ถ้าเราไปทำอะไรให้แฟนคลับเขา ทรัมป์ก็จะแฮปปี้
หรือกรณีเนื้อออสเตรเลียเข้ามาไทย ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า แต่เนื้อสหรัฐเสียภาษีนำเข้า 50% แต่เมื่อเนื้อนำเข้าอยู่แล้ว กรณีอย่างนี้เรามีปัญหากับสหรัฐ ถ้าเราลดภาษีให้สหรัฐ
สมมติคนไทยกินเนื้อ 20 ตัน แทนที่จะเป็นเนื้อออสเตรเลีย 19 ตัน อาจเป็นเนื้อสหรัฐ 10 เนื้อออสเตรเลีย 10 สหรัฐก็จะรู้สึกว่าเขาขายเนื้อให้ไทยได้
อีกมุมหนึ่งในด้าน “ความมั่นคง” เคยตั้งคำถามกับ “ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข” นักรัฐศาสตร์ด้านความมั่นคงว่า เมื่อทรัมป์เข้ามา ไทยจะต้องปรับนโยบายที่เบนเข็มไปทางจีน ให้มาอยู่ตรงกลาง ๆ มากขึ้นหรือไม่ อย่างเช่น แลนด์บริดจ์ หรือรถไฟความเร็วสูง ที่เชื่อมต่อจากจีน ลาว สู่ไทย
ศ.ดร.สุรชาติให้มุมมองที่น่าสนใจว่า รถไฟไม่ใช่ปัญหา เพราะจนบัดนี้ยังไม่เห็นความคืบหน้า แลนด์บริดจ์ ในฐานะคนทำงานความมั่นคง กลัวว่าแลนด์บริดจ์ จีนจะเข้ามาทำด้วยเหตุผลความมั่นคง ไม่ใช่เหตุผลทางเศรษฐกิจ
เพราะวันนี้จีนมีฐานทัพเรือที่เมืองเรียม ในกัมพูชา และจีนมีท่าเรือน้ำลึกที่เขตเศรษฐกิจพิเศษเจ้าก์ผิว ที่เมียนมา ซึ่งในอนาคตอาจเป็นฐานทัพ
ถ้าเป็นอย่างนี้ จีนจะมีฐานทัพเรือขนาบไทยทั้ง 2 ฝั่ง ดังนั้น แลนด์บริดจ์จะไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจสำหรับจีน ดังนั้น แลนด์บริดจ์ไม่มีประโยชน์
และสิ่งที่น่ากลัวในอนาคต ถ้าท่าเรือทวาย ซึ่งไทยเคยได้รับสัมปทานในการก่อสร้าง แล้วปัจจุบันตกอยู่ในมือของจีน ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นอย่างนั้น ก็แปลว่าแลนด์บริดจ์ยิ่งไม่ตอบโจทย์
เพราะท่าเรือทวายเกิด ท่าเรือเจ้าก์ผิว ใกล้ย่างกุ้งเกิด ไม่ต้องนับท่าเรือทางจีนที่อยู่ปากีสถาน ศรีลังกา รวมถึงท่าเรือใหญ่ในกัมพูชา
การลงทุนแลนด์บริดจ์ไม่ตอบโจทย์อะไรทั้งสิ้น
จึงยังเชื่อว่าปี 2568 เป็นปีที่รัฐบาลและเอกชนไทยคิดด้วยมิติใหม่ ๆ ที่มากขึ้น อะไรที่มองแล้วไม่เป็นประโยชน์ วิธีที่ดีสุดอย่ากลัวเสียหน้า แต่ต้องกล้าทิ้งเพื่อเดินไปสู่โปรเจ็กต์ที่ใหม่กว่า
เพราะโลกในระดับสากล ระดับภูมิภาค มีการขยับตัวของปัญหาใหม่ ๆ ถ้าเราเอาเพียงทรัมป์กับสงครามการค้าที่เข้ามา ไทยไม่ตั้งหลักไม่ได้แล้ว