ยกเครื่อง “กฎหมายเหล้า” คราฟต์เบียร์ชิง 5 หมื่นล้าน

ลดล็อกกฎหมายเหล้า พ.ร.บ.สรรพสามิต

รัฐบาลปลดล็อกกฎหมายเหล้า พ.ร.บ.สรรพสามิต เอื้อรายกลาง รายเล็กชื่อดัง-ชาละวัน ฟูลมูน ออนซอน ประชาชนเบียร์รับอานิสงส์ ไม่จำกัดกำลังการผลิต ไม่จำกัดแรงม้า จัดประเภทสุราใหม่ ต่อยอด Soft Power คาดชิงส่วนแบ่งการตลาด 5-10% รวม 2.5 หมื่นล้าน-5 หมื่นล้าน จากมูลค่าตลาดแอลกอฮอล์ 5 แสนล้าน ส่วนรายใหญ่ ถ้าไม่ปรับปรุงคุณภาพอาจมีเหนื่อย สภารื้อ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เล็งแก้คำสั่งคณะปฏิวัติ ปี’15 เพิ่มเวลาขาย 11.00-24.00 น.

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานหลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการประชุมเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ… โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบในวาระ 3 ด้วยเสียงเอกฉันท์ 415 เสียง ไม่เห็นชอบ 0 ก่อนจะเข้าสู่การพิจารณาในชั้นวุฒิสภา

ทั้งนี้ สาระสำคัญในร่างกฎหมายดังกล่าว มีการ “รื้อโครงสร้าง” การผลิตตั้งแต่การให้ใบอนุญาต ให้คำนึงถึงมาตรฐานการผลิตสุรา และต้องสนับสนุนกลุ่มเกษตร วิสาหกิจชุมชน องค์กรเกษตรกร หรือผู้ประกอบการรายย่อยสามารถขอรับใบอนุญาตผลิตสุราเพื่อการค้า โดยนำสินค้าเกษตรในประเทศมาผลิตเป็นสุราทุกประเภทที่อาจมีสีหรือมีกลิ่นได้

ขณะที่การพิจารณาออกใบอนุญาต จะไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์ “เลือกปฏิบัติ” หรือ “ผูกขาดทางเศรษฐกิจโดยไม่เป็นธรรม” หรือ “สร้างภาระเกินสมควร” ให้ผู้ประกอบการ เช่น ไม่กำหนดขนาดกำลังการผลิตขั้นต่ำ, โรงอุตสาหกรรมสุราขนาดเล็กหรือขนาดกลางควรกำหนดให้ตั้งอยู่ห่างจากแหล่งน้ำสาธารณะน้อยกว่า 100 เมตรได้ โดยต้องมีระบบบำบัดน้ำเสียที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม, ไม่กำหนดให้ผู้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ที่บรรจุภาชนะขายนอกสถานที่ผลิต ต้องได้รับความเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)

ทบทวนการแบ่งประเภทย่อย การใช้ชื่อสุราประเภทต่าง ๆ ที่แสดงบนฉลากให้เป็นสากล, ให้บรรจุสุราในภาชนะที่มีขนาดเล็กลงได้ เพื่อใช้เป็นของฝากสำหรับนักท่องเที่ยว, ให้ผู้ผลิตสุราแช่และสุรากลั่นสามารถขอรับใบอนุญาตผลิตสุราทั้งสองประเภทในสถานที่เดียวกันได้

คาดชิงส่วนแบ่งตลาด 5 หมื่นล้าน

นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) กล่าวว่า การออกกฎกระทรวงจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตสุราได้ทุกประเภท

ADVERTISMENT

ซึ่งในมูลค่าการตลาดสุราในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 5 แสนล้านบาท โดยที่สุราชุมชน รวมถึงคราฟต์เบียร์กินส่วนแบ่งการตลาดไม่ถึง 1% หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท แต่หลังจากปลดล็อกกฎหมายก็จะทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้มีโอกาสในการประกอบธุรกิจมากขึ้น เมื่อมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายก็สามารถต่อยอดเป็นสินค้าชุมชนขายให้กับชาวต่างชาติ กลายเป็น Soft Power ของไทยได้ หากเป็นเช่นนี้ ในอนาคตผลิตภัณฑ์สุราชุมชน รวมถึงอุตสาหกรรมคราฟต์เบียร์อาจจะมีส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น 5-10% หรือ 25,000-50,000 ล้านบาท

ล้างคำสั่งปฏิวัติ เพิ่มเวลาขาย

นายชนินทร์กล่าวว่า ขณะเดียวกัน สภากำลังพิจารณา พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในชั้นกรรมาธิการ ขณะนี้มีการหารือ 50 ครั้ง มีการพิจารณา เล่มรายงานน่าจะกลับเข้าสู่วาระ 2-3 ไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ 68 จะได้รับการพิจารณา โดยสาระสำคัญประการหนึ่งคือปลดล็อกเรื่องเวลาขายแอลกอฮอล์ ซึ่งแต่เดิมการกำหนดเวลาห้ามขายเป็นไปตามประกาศคณะปฏิวัติเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2515

ADVERTISMENT

หลังจากนี้จะมีคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของแต่ละจังหวัดขึ้นมา เพื่อควบคุมเวลาการจำหน่ายสุราได้เอง ว่าจะเป็นช่วงเวลาใด เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ในหลายจังหวัดเป็นเขต Zoning เรื่องการท่องเที่ยว มีการเสนอปรับระยะเวลาการขาย 11.00-14.00 น. และ 17.00-24.00 น. เป็น 11.00-24.00 น. ซึ่งยังต้องมีการถกเถียงกันในสภา

คลังเตรียมชงระเบียบเข้า ครม.

ด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อส่งเสริมผู้ผลิตสุราชุมชน ได้แก่ ขยายโอกาสให้โรงเบียร์ Brew Pub และคราฟต์เบียร์ สามารถบรรจุถัง Keg ขั้นต่ำ 20 ลิตร ออกขายนอกสถานที่ได้ โดยแก้ไขกฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. 2565 เปลี่ยนแปลงชื่อจากโรงอุตสาหกรรมสุราแช่ชนิดเบียร์ประเภทผลิตเพื่อขาย ณ สถานที่ผลิต เป็นโรงอุตสาหกรรมสุราแช่ชนิดเบียร์ขนาดเล็กและขนาดกลาง เพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ และส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการพัฒนาสุราชุมชน ซึ่งกรมสรรพสามิตจะนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป

ช่วยคราฟต์เบียร์เติบโต

ขณะที่นายอาชิระวัสส์ วรรณศรีสวัสดิ์ กรรมการ บริษัท ไอเอสทีบี จำกัด อดีตนายกสมาคมคราฟต์เบียร์ประเทศไทย กล่าวว่า การปลดล็อกทำให้เกิดการแข่งขันในตลาดมากขึ้น เพราะทุกวันนี้ ในปี 2566-2567 การทำโรงเบียร์ขนาดเล็ก Brewpub ยังเกิดขึ้นมา 80 แห่ง และปี 2568 น่าจะเพิ่มขึ้น 40-50 แห่ง ส่วนรายใหญ่อาจจะมีผลกระทบบ้าง เพราะมีโรงขนาดกลางขึ้นมาแข่งขันกันมากขึ้นในระยะ 1-2 ปีนี้

ส่วนผู้ผลิตคราฟต์เบียร์ไทยที่ผลิตอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน และส่งกลับเข้ามาขายในประเทศไทยนั้น หลังจากกฎหมายฉบับนี้ผ่าน คิดว่าผู้ประกอบการจะย้ายกลับมาผลิตในประเทศ 90% ยกเว้นผู้ผลิตบางรายที่ไปผลิตที่ประเทศเพื่อนบ้านแล้วยังติดเรื่องใช้วัตถุดิบท้องถิ่น หรือบางรายที่จะต้องใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของประเทศเพื่อนบ้านส่งออกก็อาจจะยังอยู่

เติบโตและหลากหลาย

ด้านนายศุภพงษ์ พรึงลำภู หรือ ตูน ผู้ร่วมก่อตั้งโรงเบียร์สหประชาชื่น กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้จะเกิดประโยชน์กับผู้เกี่ยวข้องมหาศาล อาทิ 1.ผู้ผลิตรายย่อย วิสาหกิจชุมชนสามารถสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายได้มากขึ้น เช่น เดิมเคยทำได้แต่เหล้าขาว ก็จะสามารถทำวอดก้า วิสกี้ จิน รัม ได้ 2.จัดการทรัพยากรทางด้านการเกษตรได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเกิดการยึดโยงกับชุมชนและจังหวัด ผ่านผลผลิตต่าง ๆ ที่เป็นวัตถุดิบจากท้องถิ่น

3.กระจายรายได้และส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก หลังจากที่ผ่านมาตลาดแอลกอฮอล์ 400,000 ล้านบาทต่อปี หรือเกือบทั้งหมดกว่า 90% ถูกยึดโยงกับรายใหญ่ไม่กี่ราย 4.ผู้ประกอบการขนาดเล็กและกลางสามารถออกแบบระบบที่นำไปสู่ความสำเร็จในด้านธุรกิจได้ เช่น โรงเบียร์สหประชาชื่น ปัจจุบันปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดว่าต้องมีโรงงานที่มีกำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 1 แสนลิตรต่อปี อย่างไรก็ตาม ‘ผลิตจริง’ แค่เพียงประมาณ 20% เนื่องจากไม่สามารถจำหน่ายนอกสถานที่ผลิตได้

ออนซอนวางเป้าโต 10 เท่า

นายธรรมวิทย์ ลิ้มเลิศเจริญวนิช หรือเสือ เจ้าของ ‘ออนซอน’ คราฟต์สุราชุมชนแห่ง จ.สกลนคร กล่าวว่า สิ่งแรกที่เกิดขึ้นหลังจากปลดล็อก คืออารมณ์และความสนใจร่วมในสังคม เริ่มมีผู้คนเข้ามาสอบถามและพูดคุยเรื่องการผลิต การดื่ม และเรื่องกฎหมายมากขึ้น จะเห็นการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า ทั้งข้าว อ้อย มะพร้าว ฯลฯ รัฐบาลจะได้รับประโยชน์จากภาษีจากผู้ประกอบการและเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เชื่อว่าการปลดล็อกข้อจำกัดต่าง ๆ จะนำไปสู่การพัฒนาโปรดักต์ใหม่ ๆ ที่ต้นทุนลดลง

“ปีที่แล้วผมขายได้ 7.9 พันขวด เป็นเงินเกือบ 3 ล้านบาท ถ้าข้อจำกัดลดน้อยลง การเติบโต 10 เท่าไม่ใช่เรื่องยาก” นายธรรมวิทย์กล่าว

หวังอนาคตปลดทุกล็อก

ทวีชัย ทองรอด ผู้ก่อตั้ง “สังเวียน” สุรากลั่นจากจังหวัดสุพรรณบุรี เล่าว่า สังเวียนก่อตั้งมา 6 ปี จากความตั้งใจที่จะทำโรงเบียร์ แต่ด้วยความยุ่งยากของกฎหมาย และไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน จึงเปลี่ยนมาเป็นโรงสุรา Brewpub โรงงานขนาดเล็กที่ผลิตได้ไม่เกินล้านลิตรต่อปี และทำในลักษณะร้านอาหารเท่านั้น ไม่สามารถขายส่งได้

การเปลี่ยนแปลงภายหลังผ่านร่าง พ.ร.บ.สรรพสามิต ปลดล็อกสุราชุมชน เขามองว่าการสื่อสารกับลูกค้าจะง่ายขึ้น ทั้งการดีไซน์ฉลาก และการใช้คำได้ตรงกับตัวตนผลิตภัณฑ์ จากเดิมใช้วิธีเลี่ยงบาลีด้วยการเรียกว่า “เหล้าขาว” ต่อจากนี้สังเวียนจะสามารถใช้คำว่า “รัม” หรือ “ไวท์รัม” ได้

เรื่องรายได้ ทวีชัยเชื่อว่าจะเติบโตขึ้นเช่นเดียวกับการมาของสุรายี่ห้อใหม่ ๆ ในอนาคตอุตสาหกรรมสุราในไทยจะน่าสนใจมากขึ้น ไม่ใช่แค่เพียงคนไทย แต่รวมถึงชาวต่างชาติด้วย

นายอนันตรัฐ สุวรรณรัตน์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง “เหล้ากบฏเงี้ยว” จ.แพร่ กล่าวว่า การปลดล็อกกฎหมายนับเป็นก้าวสำคัญของวงการสุรา ส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจโรงกลั่น ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุปกรณ์ผลิตสุรา และธุรกิจสอนต้มสุรา รายได้จะกระจายไปท้องถิ่นมากขึ้น ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศก็จะคึกคักตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม กังวลว่าการปลดล็อกเพียงอนุญาตให้ขายนั้น อาจทำให้การเติบโตเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการบางราย เนื่องจากกำลังการผลิตที่น้อยกว่า แต่ยังต้องจ่ายภาษีเทียบเท่ากับทุนใหญ่

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับตลาดคราฟต์เบียร์ในไทยที่ได้รับประโยชน์จากการปลดล็อกกฎหมาย อาทิ Group B, Mahanakhon, FullMoon Brewworks, Outlaw, Mitr Brewery ขณะที่รายเล็ก ประชาชนเบียร์, สหประชาชื่น