
‘นายกฯอิ๊ง’ เตรียมคอนเฟอร์เรนท์ สั่งการข้ามประเทศ จากดาวอส 24 ม.ค.นี้ ย้ำหน่วยงานเกี่ยวข้องแก้ปัญหาฝุ่นควัน จี้ทุกหน่วยงานเร่งแก้ไข มอบผู้ว่าฯกทม.-กระทรวงเกี่ยวข้อง ตัดสินใจทันทีหากกระทบสุขภาพประชาชน
เมื่อเวลา 07.30 น.วันที่ 23 มกราคม 2568 (ตามเวลาท้องถิ่นเมืองดาวอส ช้ากว่ากรุงเทพฯ) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ประชุมสั่งการให้ส่วนราชการทุกส่วนที่ได้ร่วมประชุมในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)และคณะทำงานส่วนราชการในการแก้ไขฝุ่นควัน เมื่อวันพุธที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา เร่งดำเนินตามมาตรการ และในวันศุกร์ที่ 24 ม.ค.จะประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ จากเมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส เพื่อหารือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนอีกครั้ง
โดยนายกฯ ระบุว่า ให้หน่วยงานต่างๆเร่งแก้ไขปัญหาทันที ตามที่มีการกำหนดแนวทางในการประชุม และให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ในการแก้ไขแบบเร่งด่วนทันที แผนการระยะสั้น และระยะยาว และขอให้หน่วยงานต่างๆรายงานการดำเนินการทุกวัน โดยให้ผู้ว่ากทมตัดสินใจเรื่องการประกาศหยุดเรียนของนักเรียนในสังกัดกทม.ได้ทันที และกำชับให้กทม.ใช้ 9 มาตรการ เช่น เข้มงวดตรวจวัดตรวจจับรถยนต์ควันดำทุกประเภทร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามแผนที่กำหนด,ขอความร่วมมือทำงานหรือปฏิบัติงานในที่พัก (Work From Home),เข้มงวดตรวจตราควบคุมไม่ให้มีการเผาขยะหรือการเผาในที่โล่งทุกประเภทอย่างเข้มข้นสำหรับส่วนราชการอื่น อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ ให้ตัดสินใจพิจารณาดำเนินการ
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ส่วนกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เข้มข้นในการดำเนินมาตรการงดการรับซื้ออ้อยไฟไหม้ และกวดขันเจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันและปราบปรามเขาตรวจสอบเป็นระยะ ด้านกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บังคับใช้กฎหมายส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวดกับผู้เผาป่า เผาตอซังข้าว ข้าวโพด อ้อยและพืช ในทุกหมู่บ้านทุกอำเภอทั้งประเทศ และตั้งศูนย์ปฏิบัติการในพื้นที่ 14 กลุ่มป่า ตั้งจุดเฝ้าระวังไฟในพื้นที่ป่า และแผนการจัดจ้างคนในชุมชนประจำจุดเฝ้าระวังอีก 1,585 จุด และดำเนินคดีกับผู้เผาป่า ด้วยกฎหมายป่าไม้ที่เกี่ยวข้องทุกฉบับ และบังคับใช้กฎหมายกับผู้เผา อาทิ กฎหมายสาธารณสุข กฎหมายการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และประมวลกฎหมายอาญา
โดยให้รายงานสถิติการจับกุม ห้ามใช้ยานพาหนะที่ปล่อยควันดำเกินมาตรฐานอย่างจริงจัง โดยเฉพาะรถปิคอัพ รถโดยสาร รถบรรทุกขนาดใหญ่ ที่ปล่อยควันดำรวมทั้งรถโดยสารของ ขสมก. และรถร่วมบริการเส้นทางต่าง ๆ ที่อยู่ในความดูแลของรัฐ โดยขอให้ตรวจสอบและกวดขันการจับคุมให้เข้มข้น โดยในกรุเทพมหานคร กองบังคับการตำรวจจราจร ได้ตั้งด่านตรวจควันดำใน 4 มุมเมืองของกรุงเทพมหานคร
ด้านกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำหนดมาตรการห้ามนำเข้าอ้อยไฟไหม้ รวมทั้งพืชเกษตรอื่นที่ผ่านการเผา อย่างเด็ดขาดและให้ตรวจสอบตามด่านพรมแดนที่มีการนำเข้าอย่างเข้มงวด นอกจากนั้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ขึ้นบินปฏิบัติการต่อเนื่องการเจาะชั้นบรรยากาศเร่งระบายและลดการสะสมของฝุ่น PM 2.5 และทุกหน่วยงานในสังกัดลงพื้นที่ให้ความรู้แก่เกษตรกรในการทำเกษตรกรรมแบบปลอดการเผา
ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัยรองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้สั่งการให้หน่วยงานความมั่นคง และกรมศุลกากรตรวจสอบการลักลอบการนำเข้าพืชที่ผ่านการเผาทุกชนิดตามแนวชายแดนอย่างเข้มงวดตลอดเวลา ขณะที่กระทรวงมหาดไทย ได้กำชับ กทม. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง ให้ควบคุมการก่อสร้างในเขตพื้นที่รับผิดชอบ รวมทั้งกำหนดมาตรการป้องกันการปล่อย PM 2.5 จากไซต์งานก่อสร้าง รวมทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดให้กับผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือมาตรการดังกล่าวอย่างจริงจัง โดยให้จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการตามกฎหมายกับผู้เผาและให้รายงานสถิการดำเนินการ
ขณะที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พัฒนา Platform ฐานข้อมูลกลางเกี่ยวกับ hotspot และ ventilation ใช้ข้อมูลจากดาวเทียม หรือ low cost sensors เพื่อให้หน่วยงานนำไปใช้ในการแก้ปัญหาการฟุ้งกระจายของ PM2.5 อย่างบูรณาการ ส่วนกระทรวงการต่างประเทศ หารือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อร่วมมือและให้ความช่วยเหลือในการลดปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดน และกระทรวงสาธารณสุข
ให้สธ.ทั่วประเทศ เข้มข้นใน 5 มาตรการ คือ ให้ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขเตรียมพร้อม ,เร่งประชาสัมพันธ์เชิงรุกและสร้างความรอบรู้ภัยสุขภาพ,สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ (สสจ.) จัดทีมปฏิบัติการทางการแพทย์ลงพื้นที่ดูแลกลุ่มเสี่ยง กลุ่มเปราะบาง ,ขยายบริการด้านการแพทย์สาธารณสุขให้ครอบคลุม เช่น เพิ่มห้องปลอดฝุ่น มุ้งสู้ฝุ่น และสนับสนุนอุปกรณ์เวชภัณฑ์ต่างๆ เช่น หน้ากากอนามัย อย่างเร่งด่วนต่อไป