“อิ๊งค์” ชู 3 จุดแข็งไทยเวทีดาวอส จีบกูเกิล-อะเมซอนเพิ่มลงทุน

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร WEP

นายกฯโชว์จุดแข็งประเทศไทย บนเวที World Economic Forum 2025 เมืองดาวอส พร้อมเปิดรับการลงทุนสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจด้วย ใช้ AI ยกระดับเกษตรกรรม ใช้ Soft Power ดึงดูดนักท่องเที่ยว ปักหมุด “ปลายทางสำหรับการผ่อนคลายความเครียด” เน้นอุตสาหกรรมที่มีความยั่งยืน พร้อมลงนาม FTA กับกลุ่มยุโรป รวมถึงหารือกับเอกชนรายใหญ่ทั้งกูเกิล อะเมซอน หวังเพิ่มลงทุนในไทยมากขึ้น

ภารกิจของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เข้าร่วมการประชุม World Economic Forum ประจำปี 2568 (WEF Annual Meeting 2025 : WEF AM25) ระหว่างวันที่ 20-25 มกราคม 2568 ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส พร้อมด้วย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและ รมว.คลัง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯและ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้มีการหารือผู้นำชาติต่าง ๆ รวมถึงบริษัทเอกชนระดับโลก เพื่อชักชวนมาลงทุนในประเทศไทย และยังได้ลงนามความตกลงการค้าเสรี

ชู 3 จุดแข็งประเทศไทย

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำเสนอวิสัยทัศน์และนโยบายของประเทศไทยต่อผู้บริหารจากภาคเอกชน และร่วมแลกเปลี่ยนความเห็น ในกิจกรรม Country Strategy Dialogue (CSD) on Thailand ในห้วงของการประชุม World Economic Forum ประจำปี ค.ศ. 2025

โดยย้ำให้ทราบถึงโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งมีจุดเด่นที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของภูมิภาค มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ในภูมิภาค โดยมีโครงสร้างพื้นฐานและนิคมอุตสาหกรรมระดับโลก และขอยืนยันว่า ในยุคแห่งปัญญาและนวัตกรรมนี้ โลกจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือ เพื่อสร้างอนาคตที่เหมาะสมเพื่อทุกคน ซึ่งประเทศไทยกำลังเดินหน้าไปสู่การใช้ประโยชน์จากอุตสาหกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมจุดแข็งของประเทศไทย 3 ประการ ดังนี้

ประการแรก ด้านเกษตรกรรมและอาหาร ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในฐานะประเทศที่มีทรัพยากรการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ เป็นหนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกอาหารรายใหญ่ของโลก ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ครัวโลก” โดยรัฐบาลกำลังเดินหน้าเปลี่ยนแปลงเกษตรกรรมด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ผ่านการใช้ AI หุ่นยนต์ และการเกษตรแบบแม่นยำ เพื่อปรับปรุงคุณภาพ เพิ่มผลผลิตให้ได้สูงที่สุด ยังขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านอาหาร ช่วยให้ร้านอาหารของไทยสร้างสรรค์เมนูที่ไม่เพียงอร่อย แต่ยังมีความยั่งยืนและคำนึงถึงสุขภาพ

หวังเป็นศูนย์กลางการแพทย์

ประการที่สอง เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย ซึ่งเปรียบเสมือน Soft Power สร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลและสร้างสีสันให้กับสังคม อาทิ การท่องเที่ยวของไทย ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของโลก ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่มั่งคั่งและธรรมชาติที่งดงาม ประเทศไทยวางตำแหน่งตัวเองให้เป็น “จุดหมายปลายทางสำหรับการผ่อนคลายความเครียด” ซึ่งทุกคนทั่วโลกสามารถมาท่องเที่ยว สร้างความทรงจำและเติมพลังให้ตนเอง

ADVERTISMENT

นอกเหนือจากการท่องเที่ยว ประเทศไทยยังมุ่งหวังที่จะเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมทางการแพทย์และสุขภาพ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลัก และมีส่วนสำคัญต่อ GDP และการจ้างงานของประเทศไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ขับเคลื่อนลงทุนสีเขียว

ประการที่สาม อุตสาหกรรมขั้นสูงที่มีความยั่งยืน โดยประเทศไทยให้ความสำคัญกับวาระโลกสีเขียว ผ่านการส่งเสริมอุตสาหกรรมฐานชีวภาพ ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG รวมถึงการขับเคลื่อนการลงทุนสีเขียวและการนำเทคโนโลยีสีเขียวมาใช้ พร้อมทั้งลงทุนในอุตสาหกรรมขั้นสูง ที่จะกำหนดอนาคตของประเทศไทย เช่น การสร้างระบบนิเวศสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า และการเสริมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลผ่าน Data Center รวมถึงยังได้กำหนดเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าเป็นอย่างน้อย 50% ภายในปี 2040 โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ ลม และชีวมวล

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ รัฐบาลยังส่งเสริมปัจจัยการเพิ่มศักยภาพจุดแข็งของไทยให้ได้สูงสุด คือการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ผ่านการขยายโครงสร้างพื้นฐานและบริการดิจิทัล พัฒนาฟินเทค และเปิดโอกาสให้ธุรกิจต่าง ๆ สร้างสรรค์นวัตกรรมและแข่งขันในระดับโลก รวมทั้งดึงดูดอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น บริการคลาวด์ ศูนย์ข้อมูล และเซมิคอนดักเตอร์ โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ผ่านโครงการเสริมทักษะและยกระดับทักษะ

ใช้การทูตแบบสยาม

การส่งเสริมการค้าและความเชื่อมโยงระหว่างประเทศ โดยรัฐบาลมุ่งหวังที่จะบรรลุมาตรฐานสากลในหลาย ๆ ด้าน ควบคู่กับการคงไว้ของ “การทูตแบบสยาม” อันเป็นเอกลักษณ์ของไทย ผ่านการรักษาสมดุลในการดำเนินความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ

โดยไทยสมัครเข้าร่วมองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานด้านต่าง ๆ ของไทย พร้อมทั้งเข้าไปมีส่วนร่วมในเวทีระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเชื่อมโยงและเดินหน้าไปสู่การบรรลุเป้าหมายร่วมกัน

ลงนาม FTA กับกลุ่มยุโรป

นายกรัฐมนตรียังเชื่อมั่นในระบบพหุภาคีที่มีพื้นฐานจากกฎเกณฑ์ และการเสริมสร้างสภาวะแวดล้อมทางการค้าและการลงทุนที่เสรี เปิดกว้าง ครอบคลุม และคาดการณ์ได้ รัฐบาลจึงออกมาตรการจูงใจ ปรับปรุงกฎระเบียบ และบรรลุความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศ และดินแดนต่าง ๆ รวมถึงความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association : EFTA) ที่ลงนามไปแล้ว ซึ่งเป็นฉบับแรกที่ประเทศไทยลงนามกับประเทศในยุโรป และเป็นฉบับแรกที่ครอบคลุมถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีขอให้ร่วมกันส่งเสริมสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง รวมถึงมุ่งหวังที่จะเติบโตและเจริญก้าวหน้าไปด้วยกัน และไทยจะยังคงเป็นสะพานเชื่อมเพื่อลดความแตกต่าง เพิ่มผลประโยชน์ร่วมกันกับประเทศต่าง ๆ ต่อไป

“ทุกคนที่มาร่วมฟังครั้งนี้จะมีความเข้าใจประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านคุณค่า จุดแข็ง และวิสัยทัศน์ของไทยที่จะก้าวไปข้างหน้าในฐานะประเทศที่พร้อมจะสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก” น.ส.แพทองธารกล่าวและว่า “ประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่มีความมุ่งมั่น และมีความพร้อมอย่างยิ่งสำหรับการลงทุนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า” และขอให้ทุกคนร่วมกันสร้างโลกแห่งโอกาส สันติภาพ และความเจริญรุ่งเรืองสำหรับทุกคน

เร่งเจรจาไทย-บังกลาเทศ

พร้อมกันนี้ น.ส.แพทองธาร พบกับศาสตราจารย์มูฮัมหมัด ยูนุส ประธานคณะที่ปรึกษารัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ โดยระบุว่า ไทยและบังกลาเทศมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ โดยบังกลาเทศเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียใต้ เป็นแหล่งลงทุนที่มีศักยภาพ ซึ่งภาคเอกชนไทยหลายบริษัทเข้าไปลงทุนในบังกลาเทศเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 20 ปี

ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องในการเร่งขับเคลื่อนการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยกับบังกลาเทศ เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณการค้าระหว่างกัน โดยมีเป้าหมาย มูลค่าการลงทุนประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

DP World หนุนแลนด์บริดจ์

ส่วนการหารือด้านธุรกิจ นายกฯพบกับผู้บริหารบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่สำคัญ ๆ อาทิ ประธานกลุ่มบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DP World สุลต่าน อะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม (H.E. Sultan Ahmed bin Sulayem) ประธานกลุ่มบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท DP World (UAE)

ทั้งนี้ DP World สนับสนุนไทยในการพัฒนาสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ICD) ลาดกระบัง ให้เป็นศูนย์โลจิสติกส์ระดับภูมิภาคแบบหลายรูปแบบ (Multimodal) สำหรับการค้าข้ามพรมแดนระหว่างจีน อินโดจีน มาเลเซีย และสิงคโปร์ ผ่านการเชื่อมโยงเครือข่ายทางรถไฟ นอกจากนี้ DP World พร้อมเดินหน้าศึกษาการลงทุนโครงการ Land Bridge เพื่อสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาคอาเซียน
พบบิ๊ก “กูเกิล-อะแมซอน”

น.ส.แพทองธาร พบหารือกับนาง Ruth Porat ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัท Google ซึ่งขอบคุณที่รัฐบาลไทยช่วยสนับสนุน โดยโครงการ Data Center ที่จังหวัดชลบุรี ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า ทั้งอยากให้ Google ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตโปรดักต์ดิจิทัลด้านอื่น ๆ ด้วย

รวมถึงหารือกับนาย Matt Garman ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Amazon Web Services (AWS) ที่ลงทุนสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย เป็น AWS Asia Pacific (Thailand) Region

ชวน Salesforce ลงทุนคลาวด์

นายกรัฐมนตรี พบกับนายซาบาสเตียน ไนล์ส (ประธานฝ่ายกฎหมายและกิจการองค์กรบริษัท Salesforce บริษัทซอฟต์แวร์และผู้ให้บริการคลาวด์สัญชาติอเมริกัน) โดยนายกฯได้ย้ำถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่ต้องการสร้างความต่อเนื่องในนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลและการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสีเขียว พร้อมเชิญชวนให้ Salesforce เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินนโยบาย Cloud First ของรัฐบาล เพื่อปรับปรุงการบริการภาครัฐให้ทันสมัยและเพิ่มความรู้ด้านดิจิทัลแก่เจ้าหน้าที่ภาครัฐ