ผ่าแผน แดง-ส้ม-น้ำเงิน ดีเดย์ ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.

ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.
คอลัมน์ : Politics policy people forum

1 กุมภาพันธ์ เป็นวันชี้ชะตาเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) มี 3 กลุ่มก้อนการเมืองใหญ่ ที่ห้ำหั่นกันทั้งใต้ดิน บนดิน โซเชียลมีเดีย ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน และเครือข่ายสีน้ำเงิน ฐานการเมืองของพรรคภูมิใจไทย

เกมนี้เป็นไฟต์บังคับของพรรคเพื่อไทย และ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ช่วยหาเสียง เดิมพันศึกเลือกนายก อบจ. ภายใต้ยุทธการ “ยึดบ้านใหญ่” ทุนท้องถิ่น เพราะการเมืองท้องถิ่นเป็น “ฟันเฟือง” สำคัญ ขับเคลื่อนการเมืองภาพใหญ่

อีกทั้งกระแสของพรรคเพื่อไทยเพียว ๆ ก็ถูกคู่แข่งคือพรรคประชาชนตีตื้น พิสูจน์มาแล้วในการเลือกตั้งใหญ่ปี 2566 ขณะเดียวกัน คู่แข่งอีกด้านอย่างเครือข่ายสีน้ำเงิน ก็ทยอยยึดบ้านใหญ่ ไปทั้งภาคกลาง ภาคใต้ และรุกคืบในพื้นที่อีสาน เพื่อไทยจึงต้องเดินเกม 2 ขา ทั้งกระแส และยึดบ้านใหญ่ ผ่านเก้าอี้นายก อบจ.ปูทางไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ปี 2570

ขณะที่พรรคประชาชน และเครือข่ายคณะก้าวหน้า ส่งผู้สมัครชิงเก้าอี้นายก อบจ.หนที่ 2 หลังจากหนที่แล้วส่งในนามคณะก้าวหน้า กลับไม่ได้แม้แต่เก้าอี้เดียว หากครั้งนี้ได้นายก อบจ.มา 1 เก้าอี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ

โดยการเลือกตั้ง 1 กุมภาพันธ์นี้ พรรคเพื่อไทย ส่งผู้สมัครนายก อบจ. ทั้งในนามพรรค 14 จังหวัด และในนามสมาชิกพรรค 2 จังหวัด คือ เชียงใหม่ และอำนาจเจริญ รวม 16 จังหวัด ขณะที่พรรคประชาชน ส่งผู้สมัคร 17 จังหวัด ส่วนพรรคภูมิใจไทย ไม่ส่งในนามพรรค หรือสมาชิกพรรค แต่มี “เครือข่ายสีน้ำเงิน” ลงชิงชัย โดยเฉพาะภาคอีสาน และภาคใต้

ทักษิณลงพื้นที่ย้ำคะแนน

“ช่วงนี้เป็นช่วงเลือกตั้งนายก อบจ. ผมต้องเดินสายบ่อยหน่อย หลายคนเป็นเด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้จัก ผมก็เลยอยากจะมาเยี่ยมพบปะพี่น้องเรื่อย ๆ พี่น้องยังอยากใช้งานผมอยู่หรือไม่ ปีนี้เป็นปีที่ต้องทำงานหนัก ต้องอาศัยท้องถิ่นเพื่อร่วมมือกับรัฐบาล เราจึงลุยเรื่องท้องถิ่น ผมอยากได้มือไม้มาช่วยเป็นมือไม้ให้รัฐบาล มาทำงานให้รัฐบาลพี่น้องครับ ถึงอย่างไร ผมขอนะ ขอนายก อบจ.นะครับ”

ADVERTISMENT

นี่คือ ท่วงท่าของ “ทักษิณ” ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ระหว่างการปราศรัยช่วย นายวิวัฒน์ชัย โหตระไวศยะ ผู้สมัครนายก อบจ.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย

เพื่อสู้กับเจ้าของพื้นที่เดิม แชมป์เก่า 2 ทศวรรษ “วิชิต ไตรสรณกุล” พ่อของ “ไตรสุรีย์ ไตรสรณกุล” เลขานุการ มท.1 (อนุทิน ชาญวีรกูล) ที่มีเครือข่ายภูมิใจไทยหนุนหลัง

ADVERTISMENT

ช่วงโค้งสุดท้าย ทักษิณ-เพื่อไทย เดินหน้าย้ำลงพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อช่วยผู้สมัครนายก อบจ.หลังจากก่อนหน้านี้ลงพื้นที่มาแล้วรอบหนึ่ง เมื่อ 23-24 มกราคม

คราวนี้ มี 3 พื้นที่สำคัญ สมรภูมิเชียงราย เพื่อช่วย นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงราย หาเสียง โดยสู้กับเครือข่ายสีน้ำเงิน คือ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ อดีตนายก อบจ.เชียงราย แชมป์เก่า แห่งบ้านใหญ่ “วันไชยธนวงศ์” ลงในนามอิสระ แต่เครือข่ายสีน้ำเงิน

จากนั้น ไป จ.เชียงใหม่ อันเป็นพื้นที่ที่ “ทักษิณ” ประกาศว่าแพ้ไม่ได้ เพื่อช่วย “พิชัย เลิศพงศ์อดิศร” ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ หาเสียงชนกับ “พันธุ์อาจ ชัยรัตน์” ผู้สมัครพรรคประชาชน แล้วไป จ.ลำพูน หาเสียงช่วย “อนุสรณ์ วงศ์วรรณ” ผู้สมัครนายก อบจ. จ.ลำพูน แล้ววกกลับมาเชียงใหม่ หาเสียงในตลาดวโรรส เพื่อช่วยนายพิชัยหาเสียงอีกรอบ

เคาะประตูบ้าน ชู รบ.ท้องถิ่น

ขณะเดียวกัน กลยุทธ์โค้งสุดท้ายของพรรคเพื่อไทย นอกจากพลังของ “ทักษิณ” ที่เดินสายขึ้นเหนือช่วยปราศรัยแล้ว ผู้สมัครนายก อบจ.และผู้สมัคร ส.อบจ.ของพรรคเพื่อไทย ใช้วิธี On Ground ลงเคาะประตูบ้านเพื่อขอคะแนนหลังต่อหลัง บ้านต่อบ้าน

ชูจุดแข็งของความเป็น “รัฐบาล” เชื่อมโยงกับการบริหาร “ท้องถิ่น” หากพื้นที่ที่ผู้สมัครนายก อบจ.พรรคเพื่อไทย คว้าเก้าอี้ได้สำเร็จ ก็จะรวมกันเป็น “รัฐบาลท้องถิ่น” เข้ามาบริหารจังหวัด

แหล่งข่าวกล่าวการที่ “ทักษิณ” ลงช่วยหาเสียง โดยเฉพาะเหนือ-อีสาน ว่า “ได้ผลเชิงกลยุทธ์ คนไม่ได้เจอท่านทักษิณมาเกือบ 20 ปี คนคิดถึง เวลาท่านพูดไม่ได้เหมือนปราศรัย แต่เป็นการเล่าเรื่อง สิ่งที่ท่านทำก็เห็นผล ท่านมีบารมี และท่านเป็นพ่อนายกฯ คนอีสาน คนเหนือก็รักท่านช่วยได้มาก”

เพียงแต่รอบนี้ ผู้สมัครนายก อบจ.ของพรรคเพื่อไทย อาจจะไม่เข้าเป้าในบางพื้นที่ มีบางจังหวัดเนื่องจากมีการตัดกันเอง ระหว่างอดีตนายก อบจ.ซึ่งเป็นคนของเพื่อไทยในรอบที่แล้ว แต่รอบนี้มาลงอิสระ กับผู้สมัครนายก อบจ.ของพรรคเพื่อไทยปัจจุบัน แกนนำเพื่อไทย รายหนึ่งระบุว่า อาจเสียท่าให้กับ “มือที่สาม”

ส่วนพื้นที่ที่ “ทักษิณ” ลงช่วยปราศรัยมีเปอร์เซ็นต์สูงที่จะเข้าเป้า และบางพื้นที่อาจ “ล้มแชมป์” สีน้ำเงิน

เครือข่ายน้ำเงินรักษาพื้นที่เก่า

ขณะที่แหล่งข่าวจากเครือข่ายสีน้ำเงินมั่นใจว่า พื้นที่มีโอกาสชนะสูงคือสนามเลือกตั้งนายก อบจ.ศรีสะเกษ กับสนามเลือกตั้งนายก อบจ.นครพนม ที่เครือข่ายสีน้ำเงิน เจ้าของเก้าอี้เดิม แม้ว่าพรรคเพื่อไทยส่ง “ทักษิณ” มาไล่หนูก็ตาม

จุดแข็ง-จุดขายเครือข่ายสีน้ำเงิน แกนนำคนเดิมมั่นใจว่า “เพราะเรา ทำสม่ำเสมอ ชัดเจน ตรงไปตรงมา เห็นได้จากการทำงานตั้งแต่ตั้งรัฐบาลก็ชัดเจนกับทุกคน ช่วยเหลือทุกคนที่ช่วยเหลือได้ สนับสนุนทุกคนที่ควรได้รับการสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน เห็นได้จากระบบวิธีการทำงาน ฉะนั้นไม่แปลกที่ สส.หลายพรรค ก็อาจสนใจและปลื้มที่จะทำงานกับพวกเรา”

ส่วนการที่ “ทักษิณ” ลงพื้นที่ ประเมินว่าไม่สามารถช่วยผู้สมัครพรรคเพื่อไทยได้ทุกคน อีกทั้งความเชื่อมั่นของคนที่มีต่ออดีตนายกฯ ไม่เหมือนในอดีต เพราะนายทักษิณ แสดงเป้าหมายส่วนตัวชัดเกินไป อาจทำให้เกิดกระแสลบในภาพรวม

ปชน.ลุย Battle Ground State

ด้านสถานการณ์พรรคประชาชนมั่นใจว่า ศึกเลือกตั้งนายก อบจ.ครั้งนี้ สะกดคำว่า “ชนะ” เป็นแล้ว อย่างน้อยตั้งเป้าไว้ 1 ที่นั่ง อีก 4 สนามต้องลุ้น

พื้นที่ที่คาดว่าจะได้คือ สนามเลือกตั้งนายก อบจ.นครนายก มีผู้สมัครชื่อ จักรพันธ์ จินตนาพากานนท์ ซึ่งเป็นนายก อบจ.สมัยที่แล้ว ส่วนที่เหลืออีก 4 สนามมีลุ้น อย่างสนามนายก อบจ.ระยอง, นายก อบจ.ตราด, นายก อบจ.สมุทรปราการ และนายก อบจ.สมุทรสงคราม

ส่วนสนามที่สูสี พอมีโอกาส คือ สนามเลือกนายก อบจ.เชียงใหม่ ที่สู้กับคนของพรรคเพื่อไทย แม้ว่า “ทักษิณ” จะลงย้ำถึง 2 รอบ แต่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ก็ลงถึง 2 รอบเช่นกัน ยังไม่นับ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ส่วนภาคใต้ ก็มีลุ้นที่นายก อบจ.สุราษฎร์ธานี นายก อบจ.ภูเก็ต และนายก อบจ.ลำพูน ในภาคเหนือ

ในพื้นที่ที่แกนนำพรรคประชาชน ทั้ง สส. แกนนำพรรค รวมถึงผู้ช่วยหาเสียง อดีตก้าวไกล อดีตอนาคตใหม่ ลงไปช่วยผู้สมัครในโค้งสุดท้าย ถือเป็น Battle Ground State เป็นสนามที่มีลุ้น-ทุ่มสรรพกำลังแล้วคุ้มที่จะต้องจ่าย

ชำนาญ จันทร์เรือง กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ผู้อยู่เบื้องหลังการเลือกตั้งนายก อบจ.ในปี 2563 และในปีนี้ กล่าวว่า พรรคประชาชนหาเสียงสไตล์การเมืองสมัยใหม่ มีการวิเคราะห์พื้นที่ไหนที่ชนะแน่นอนอยู่แล้วก็ไม่ต้องทำอะไรมาก พื้นที่ที่แพ้แน่นอนอยู่แล้วไปก็เสียประโยชน์…ก็ไม่ไป

ส่วนพื้นที่ Battle Ground State ก็ต้องลงทำพื้นที่ เช่น เชียงใหม่ถือเป็น Battle Ground State ดูแรก ๆ เหมือนเป็นรองเยอะ แต่กลายเป็นว่ากระแสดีวันดีคืน แกนนำก็ต้องมาถี่ คุณธนาธรยังมา 2 ครั้ง ภายใน 2 สัปดาห์ และแกนนำคนอื่น ๆ ก็มา

พื้นที่ที่เรามีโอกาสชนะเราจะดูจาก 1.ฐานเสียง คะแนนเสียงเดิมจากปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้ง 2566 ได้เท่าไหร่ 2.คะแนนความพร้อมของคณะทำงานจังหวัด ต้องเข้มแข็ง มีเจตจำนงที่จะทำแน่นอน 3.ตัวผู้สมัครมีแสง มีพลังในตัวที่พอไปสู้คู่แข่งได้ อย่างน้อยวุฒิการศึกษาต้องดี มีความรู้ความสามารถ และมีหลักเกณฑ์ตายตัวคือไม่ซื้อเสียงเด็ดขาด

“แม้ครั้งนี้ไม่ชนะเลย แต่ก็เป็นบันไดก้าวต่อไป เรามาเร็วกว่าที่วางแผนไว้ด้วยซ้ำ” ชำนาญกล่าว