จากศึก อบจ. 1 ก.พ. 68 สู่เลือกตั้งใหญ่ มิ.ย. 70

เลือกตั้ง อบจ.

วันเสาร์ที่ 1 ก.พ. 2568 จะมีการเลือกตั้งนายก อบจ. 47 จังหวัด และ ส.อบจ.ทั่วประเทศ

นอกจากลุ้นว่าพรรคไหนจะได้เก้าอี้มากสุด น้อยสุด หรือไม่ได้เลย และคิดต่อไปถึงการเลือกตั้งเทศบาลทั่วประเทศ ที่จะตามมาในเดือนต่อ ๆ ไป

อีกประเด็นที่แวดวงการเมืองกำลังขบคิดกันก็คือ การเลือกตั้งใหญ่ อันเป็นการเลือก ส.ส. 500 คน ทั่วประเทศ ที่จะนำไปสู่การมีรัฐบาลใหม่

ตามรัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดให้จัดการเลือกตั้ง ภายใน 45 วันหลังจากสิ้นสุดวาระ 4 ปีของรัฐบาล

หรือภายใน 60 วัน ยืดออกไปอีก 15 วัน กรณีสภาผู้แทนฯถูกยุบ

ครั้งก่อน ประเทศไทยมีการเลือกตั้งเมื่อ 14 พ.ค. 2566 ดังนั้น กำหนดการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศไทยครั้งหน้า หากสภาสิ้นสุดวาระ

ADVERTISMENT

จะต้องจัดเลือกตั้ง ไม่เกินวันที่ 28 มิ.ย. พ.ศ. 2570

หรือถ้ามีการยุบสภาเกิดขึ้น ก็จัดเลือกตั้งภายใน 60 วัน

ADVERTISMENT

ในเชิงยุทธศาสตร์ การเลือกตั้ง อบจ.ที่เกิดขึ้น มีความสัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกจากการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ระหว่างการหาเสียงเลือกนายก อบจ. จะได้ยิน “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ปรารภเรื่อย ๆ ถึงการทำงานของรัฐบาลปัจจุบัน

อันเป็นรัฐบาลที่มี “อิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี

ประเด็นที่ “อดีตนายกฯทักษิณ” บ่นบ่อย ๆ คือการทำงานที่ยังไม่เป็นไปตามใจต้องการ เพราะ “องค์ประกอบในรัฐบาล” ไม่เหมือนรัฐบาลก่อน ๆ ที่พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งขาดลอย และจัดรัฐบาลแบบมีอำนาจค่อนข้างเด็ดขาด

การเลือกตั้งนายก อบจ. ครั้งนี้ จึงเป็นเสมือนการสำรวจพื้นที่หาเสียง วิเคราะห์วิจัยถึงสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

และทดลองหาวิธีการที่จะนำไปสู่การเอาชนะเลือกตั้งในพื้นที่ต่าง ๆ

เพื่อให้ได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง อดีตนายกฯทักษิณ ใช้บารมีส่วนตัว เปิดการเจรจา ดึง “บ้านใหญ่” ที่แยกย้ายไปอยู่พรรคต่าง ๆ กลับมาใต้ร่มเงาของ “เพื่อไทย” อีกครั้ง

การเลือกตั้ง อบจ.รอบนี้ จึงหมายถึงความพยายามของพรรคเพื่อไทย ที่จะสร้างฐานเสียงที่หนักแน่นอีกครั้ง กลับมา “ผงาด” ในสนามการเมืองอีกครั้ง

หลังจากหลาย ๆ พื้นที่ในสนามเลือกตั้งของประเทศไทย หันไปเลือกพรรคหน้าใหม่ของวงการเมือง ที่เข้ามาพร้อมกับแนวทางใหม่ ๆ

สร้างผลสะเทือนในการเลือกตั้งระดับชาติ 2 ครั้งติดต่อกันในปี 2562 และ 2566

2562 นั้น พรรคเพื่อไทยยังมาที่ 1 แม้ว่าส่งผู้สมัครไม่ครบทุกเขต แต่ 2566 พรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นที่ 2

อย่างไรก็ตาม ความยุ่งยากซับซ้อนของการเมืองหลังเลือกตั้ง 2566 และบทบาทครั้งสุดท้ายของ สว.ชุด 250 คน

ทำให้พรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล โดยมีพรรคต่าง ๆ สนับสนุน

แต่องค์ประกอบทางอำนาจในฐานะแกนนำรัฐบาล แตกต่างจากการเป็นรัฐบาลที่ผ่าน ๆ มา ไม่ว่าจะเป็นปี 2544-2548-2550 และ 2554

โจทย์ของการเลือกตั้งครั้งต่อไป คือการที่พรรคเพื่อไทยจะทวงบัลลังก์แชมป์ในสนามเลือกตั้งกลับคืน

น่าสังเกตว่า ในการกลับประเทศไทย เมื่อเดือน ส.ค. 2566 และได้กลับมาใช้ชีวิตปกติ นายทักษิณ เดินในกรอบการเมือง ที่พยายามประนีประนอมกับพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ พยายามลดความขัดแย้งให้มากที่สุด

อย่างมากก็คือ ส่งเสียงแซว ๆ เช่น เตือนพรรคภูมิใจไทยเรื่อง “โชว์หล่อ” แต่ก็มีการโทรศัพท์พูดคุยเคลียร์ใจกัน

ทำให้คาดหมายว่า เลือกตั้งครั้งหน้า หากพรรคเพื่อไทยชนะขาดลอย ก็อาจจะเลือกดึงพรรคร่วมรัฐบาลเดิม มาเป็นรัฐบาลด้วยกันอีก

แต่หากชนะไม่ขาดลอย ก็อาจรวบรวมพรรครัฐบาลชุดเดิมกลับมาร่วมงานกันใหม่อีกเช่นกัน

เป็นการมองการเมืองในแบบไม่ยอมประมาท มีการคิดเผื่อแพ้ เผื่อชนะ

แนวทางการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยอาจต้องพึ่งบริการบ้านใหญ่ แต่ในเมื่อต้องแข่งกับพรรคประชาชน

ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องดึงเอาคนรุ่นใหม่มาร่วมการแข่งขัน ให้พรรคมีภาพที่สดใหม่

ขยายบทบาทคนรุ่นใหม่ ในฐานะผู้สมัคร ในฐานะนายกฯ และเป็นรัฐมนตรี

ผสมผสานไปกับการเก็บคะแนนจากการบริหารงานของรัฐบาล ที่จะต้องสร้างผลงานดูแลปากท้องประชาชนให้ได้ผลมากที่สุด

ถือว่าเป็นศึกใหญ่อีกครั้งของรัฐบาล ที่เดิมพันด้วยสถานะของความเป็นรัฐบาล

ใครจะอยู่ ใครจะไป น่าจะต้องลุ้นผลเลือกตั้ง

น่าจะเห็นแนวโน้มกันได้ ก่อนการเลือกตั้งมาถึง