เจาะลึก 5 ประเด็นแก้ พ.ร.ก.ไซเบอร์ เทียบโมเดลต่างประเทศ

อาชญากรรมไซเบอร์

เทียบโมเดล 5 ประเด็นยกระดับการจัดการคอลเซ็นเตอร์ แก้ไข พ.ร.ก.ไซเบอร์ ฉบับเดิม 2566 คล้ายวิธีการจัดการอาชญากรรมไซเบอร์ของประเทศไหนบ้าง ?

หลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงดีอีเสนอแก้ไขพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จากการพบว่าประชาชนยังได้รับความเสียหายเฉลี่ย 60-70 ล้านบาทต่อวัน ประกอบกับ พ.ร.ก.ฉบับเดิม (2566) ขาดอำนาจหน้าที่และการกำหนดโทษในหลายประเด็น

โดยเฉพาะอำนาจในการดำเนินการกับบัญชีม้าบนแพลตฟอร์ม P2P, อำนาจในการคืนเงินประชาชน และการรับผิดชอบของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด เกิดเป็นการแก้ไขภายใต้ พ.ร.ก ฉบับใหม่ที่จะเสนอ 5 สาระสำคัญในการแก้ไขฉบับเดิม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ดังนี้

1.การกำหนดการรับผิดชอบของสถาบันการเงิน เครือข่ายมือถือ และสื่อสังคมออนไลน์ ที่ต้องมีส่วนในการรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น หากไม่ดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดไว้

2.กำหนดหน้าที่ของผู้ให้บริการระบบโทรคมนาคม ที่มีหน้าที่ระงับการใช้งานซิมการ์ดที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทันที

3.เร่งรัดกระบวนการคืนเงินให้กับผู้เสียหาย โดยเพิ่มหน้าที่ให้ธนาคารต้องส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้า ที่มีความเชื่อมโยงกับการกระทำความผิด ไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. เพื่อให้สามารถตรวจสอบและสามารถคืนเงินให้กับผู้เสียหายได้เร็ว

ADVERTISMENT

ซึ่งเดิมการคืนเงินให้กับผู้เสียหายจะต้องผ่านขั้นตอนของกระบวนการศาล ซึ่งใช้เวลาประมาณหนึ่งถึงสองปี การแก้ไขพระราชกำหนดฉบับนี้จะทำให้สามารถคืนเงินให้กับผู้เสียหายได้เร็วขึ้น อยู่ที่ระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี

4.เพิ่มอำนาจการดำเนินการเกี่ยวกับแพลตฟอร์มการโอนทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ซึ่งแพลตฟอร์มไหนที่มีความเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดจะต้องมีส่วนในการรับผิดชอบ

ADVERTISMENT

5. เพิ่มบทลงโทษการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยแบ่งออกเป็นสองลักษณะ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ได้รับการยินยอมจากเจ้าของข้อมูล คือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลแบบส่ง และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลแบบการซื้อ-ขาย โดยมีโทษปรับสูงสุดถึง 5 ล้านบาท และจำคุกสูงสุดไม่เกิน 5 ปี

จากห้าข้อดังกล่าวได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีการกำหนดอย่างรัดกุม อย่างการเพิ่มผู้จัดการป้องกันความเสียหายและกระบวนการคืนเงินที่จะรวดเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ก็เป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไปจนกว่าจะมีการบังคับใช้อย่างเป็นทางการ

ซึ่งใน 5 ประเด็นที่ทางกระทรวงดีอีต้องการแก้ไข พ.ร.ก.ฉบับเดิมนี้ มีหลายวิธีที่มีการจัดการคล้ายกับต่างประเทศที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกันกับเรา

สิงคโปร์

สิงคโปร์ที่ได้มีการประกาศบังคับมาตรการคุ้มครองลูกค้า กรณีถูกหลอกลวงทางออนไลน์ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยมีการกำหนดให้ธนาคารและบริษัทโทรคมนาคมต้องร่วมรับผิดชอบค่าเสียหายด้วย

สำนักงานการเงินสิงคโปร์ (MAS) ระบุว่า เป็นมาตรการต่อต้านมิจฉาชีพการหลอกลวงออนไลน์ อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นในระบบธนาคาร และการชำระเงินดิจิทัลของสิงคโปร์ เพื่อลดจำนวนผู้เสียหายจากมิจฉาชีพออนไลน์ จากประกาศ Shared Responsibility Framework (SRF) ระบุว่า หน้าที่และกำหนดสำหรับสถาบันการเงินและค่ายมือถือ หากไม่ปฏิบัติตาม บริษัทจะต้องรับผิดชอบ

รวมถึงกรณีสถาบันการเงินและผู้ให้บริการด้านการชำระเงินต้องส่งแจ้งเตือน (แบบเรียลไทม์) ในกรณีที่ผู้ใช้งานมีพฤติกรรมเสี่ยงด้วย เช่น มีการเพิ่มวงเงินในการทำธุรกรรม หรือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนตัว หรือมีการล็อกอินในอุปกรณ์ใหม่ เป็นต้น

ซึ่งหากบัญชีของลูกค้าที่มีเงินคงเหลือ 50,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราว 1.26 ล้านบาทขึ้นไป หากมีการทำธุรกรรมมากกว่าครึ่งหนึ่งภายใน 24 ชั่วโมง ธนาคารจะต้องระงับธุรกรรมจนกว่าจะสามารถติดต่อลูกค้าได้ หรือส่งการแจ้งเตือน พร้อมกับระงับธุรกรรมเป็นเวลา 24 ชั่วโมง

ญี่ปุ่น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติของญี่ปุ่น (National Police Agency) รายงานว่า ปี 2565 มีเคสการฉ้อโกงหลอกลวงรูปแบบพิเศษ (Specialize Fraud) ในญี่ปุ่นมากถึง 17,520 เคส รวมเป็นมูลค่าความเสียหาย 36,140,445,000 เยน หรือประมาณ 9,400 ล้านบาท โดยรัฐบาลญี่ปุ่นมีการจัดการ ดังนี้

1.สำนักงานตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่นจะทำหน้าที่สืบสวน สอบสวน และจับกุมผู้กระทำผิด พร้อมวางมาตรการให้ความช่วยเหลือเหยื่อจากการฉ้อโกงหลอกลวงรูปแบบพิเศษ

2.กรมคุ้มครองผู้บริโภคญี่ปุ่นจะทำหน้าที่รณรงค์ให้ความรู้ที่ถูกต้อง กลวิธีของการฉ้อโกงหลอกลวงในรูปแบบต่าง ๆ พร้อมตั้งศูนย์บริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการฉ้อโกงหลอกลวงรูปแบบพิเศษไว้โดยเฉพาะ

3.กระทรวงกิจการภายในประเทศและสื่อสารประเทศญี่ปุ่น จะใช้อำนาจตามที่กฎหมายกำหนดในการควบคุม ยับยั้ง ขอความร่วมมือผู้ให้บริการเครือข่ายไม่ให้มีการใช้เบอร์โทรศัพท์มือถือเพื่อการฉ้อโกงหลอกลวง

ออสเตรเลีย

ย้อนกลับไปในปี 2565 ออสเตรเลียเกิดความเสียหายจากภัยทางการเงินมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 6.9 หมื่นล้านบาท จึงมีการตั้งศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงทางออนไลน์แห่งชาติ (National Anti-Scam Center) เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งต่อข้อมูลฉ้อโกงให้หน่วยงาน ประชาชน ผู้ประกอบการรายอื่นรับทราบ เพื่อหยุดการทำธุรกรรม

ตลอดจนทำระบบแจ้งเบาะแส แจ้งตือนภัย ประชาสัมพันธ์ และให้ความรู้ผู้บริโภค นอกจากนี้ ยังให้หน่วยงานที่เกี่ยวกับการสื่อสารและเทคโนโลยีติดตามตรวจสอบสะกัดกั้น Call Center และข้อความ (SMS) หลอกลวงด้วย อย่างไรก็ตาม ออสเตรเลียยังไม่มีแนวทางเยียวยาให้ธนาคารรับผิดชอบความเสียหายแก่ผู้บริโภคที่เป็นเหยื่อของมิจฉาชีพอย่างชัดเจน

มาเลเซีย

ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ไม่ได้เพิ่งมีในระยะเวลาไม่กี่ปี แต่ไทยและเพื่อนบ้านต่างประสบปัญหาเหล่านี้มาอย่างยาวนาน ในปี 2553-2564 มาเลเซียได้รับความเสียหายจากภัยทางการเงินออนไลน์ หรือประมาณ 7.5 หมื่นล้านบาท เมื่อมีการจับตัวผู้กระทำความผิด พบว่าส่วนมากเกิดจากการเปิดบัญชีม้า โดยในปี 2564 พบบัญชีม้าถึง 29,769 บัญชี เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว

รัฐบาลมาเลเซียได้ออกกฎหมายกำหนดให้การเปิดบัญชีม้าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มีโทษทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ มาเลเซียยังมีวิธีการเตือนภัยที่น่าสนใจคือ ธนาคารกลาง (Bank Negara Malaysia) ได้จัดทำระบบฐานข้อมูล “การแจ้งเตือนภัยทางการเงิน (Financial Consumer Alert List)” ผ่านเว็บไซต์ของธนาคารกลางเปิดเผยรายชื่อเว็บไซต์ หรือรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องระมัดระวัง

โดยรายชื่อมาจากธนาคารต่าง ๆ ส่งข้อมูลบัญชีม้าเข้าสู่แพลตฟอร์ม “Semak mule” ซึ่งเป็นแฟลตฟอร์มที่แจ้งข้อมูลเรื่องนี้โดยเฉพาะ พร้อมกันนี้ธนาคารกลางยังทำโครงการให้ความรู้เรื่องทางการเงินแก่ผู้บริโภคให้เท่าทันกับภัยทางการเงินเป็นยุทธศาสตร์ควบคู่กันไปด้วย

ในการแก้ไขปัญหา มาเลเซียมีการตั้งศูนย์ตอบโต้การหลอกลวงแห่งชาติ (The National Scam Response Center: NSRC) โดยรวบรวมบุคลากรหลายหน่วยงานที่มีความรู้ ความสามารถ เพื่อประสานงานช่วยเหลือแก้ไขปัญหาภัยทางการเงินออนไลน์ ผ่านเบอร์โทรศัพท์เพียงหมายเลขเดียว

อย่างไรก็ตาม การเยียวยาความเสียหายจากภัยทางการเงินออนไลน์มาเลเซียก็ยังไม่มีกฎหมายกำหนดไว้ ผู้บริโภคต้องฟ้องดำเนินคดีกับธนาคารเพื่อเรียกเงินคืนเอง

ข้อมูลจาก กรุงศรีอยุธยา และ สภาองค์กรผู้บริโภค