
รมว.ต่างประเทศ เผยยังไม่สามารถยืนยันสถานะอีก 1 ตัวประกันไทยในกาซาได้ ขอให้มั่นใจไม่หยุดช่วยเหลือ ชี้อิสราเอลไม่เพิกเฉย เผยเย็นนี้เตรียมบินไปรับ 5 แรงงานไทย
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงการช่วยเหลือตัวประกันคนไทยที่เหลืออีก 1 คนในฉนวนกาซา ว่ารัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามดำเนินการอย่างเต็มที่ เพราะเป็นนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่จะนำคนไทยที่ตกทุกข์ได้ยากกลับมาสู่ประเทศไทย
ซึ่งแต่ละคนกรณีมีความแตกต่างกัน มีขั้นตอนที่ต้องทำ ตนทำเรื่องนี้มากกว่า 1 เดือนแล้ว และวานนี้ (30 ม.ค.) รัฐมนตรีต่างประเทศของอิสราเอลโทรศัพท์มาแสดงความยินดีกับตน และพูดว่าเราเริ่มคุยกันเกือบ 1 เดือนแล้วดีใจที่ผลเกิดขึ้น และเรายังคงดำเนินการต่อไป
ขณะที่ตนได้พูดกับรัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอลถึงคนไทยที่เหลืออีก 1 คน รวมถึงร่างของ 2 คนไทยที่เสียชีวิตว่าอยากนำกลับประเทศไทย แต่ข้อมูลทั้งหมดที่เรามี และที่ได้คุยกับทุกมิตรประเทศ ก็ยังไม่สามารถยืนยันสถานะคนไทยที่เหลืออีก 1 คนได้ แต่ทุกคนก็ยืนยันในความตั้งใจที่จะช่วยเหลือคนไทยอีก 1 คนให้ได้
และย้ำว่าเป็นนโยบายที่ชัดเจนที่ต้องนำคนไทยกลับมาให้ได้ ขอให้มั่นใจและจะไม่หยุดยั้ง และในช่วงเย็นวันนี้ตนก็จะเดินทางไปรับคนไทยทั้ง 5 คนที่อิสราเอล ซึ่งจะได้มีการพูดคุยในเรื่องนี้ด้วย
ส่วนถือว่ามีสัญญาณที่ดีได้หรือไม่กับอีกคนไทยที่เหลือ 1 คน นายมาริษย้ำว่า อย่างที่เรียนคนในพื้นที่ก็บอกมาตรง ๆ ว่ายังไม่สามารถจะหาสถานะของอีก 1 คนได้ เมื่อวานรัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอลก็พูดชื่อออกมาชัดเจน คือ นายณัฐพงศ์ ปินตา ก็แสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญ และไม่ได้เพิกเฉยต่อคำร้องขอของเรา
ทั้งนี้ ขอขอบคุณมิตรประเทศทุกประเทศที่ให้ความช่วยเหลือในเรื่องนี้ ทั้งกาตาร์ อียิปต์ อิหร่าน ตุรกี สหรัฐ และอิสราเอลที่ดูแลช่วยเหลือตัวประกันทั้ง 5 คนในขณะนี้
เมื่อถามว่า ขณะนี้มีแรงงานไทยจำนวนมากกลับไปทำงานที่อิสราเอล มีการวางแผน ดูแลและป้องกัน อย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ นายมาริษกล่าวว่า พยายามขอให้คนไทยอย่าเพิ่งเดินทางเข้าไป ถ้าจะเดินทางเข้าไปทำงาน กรุณาอย่าเข้าไปในเขตพื้นที่เสี่ยงภัย แต่ตนก็คงไปห้ามไม่ได้ จึงต้องพยายามเตือน
และเมื่อถึงจุดจุดหนึ่งที่มีปัญหากระทรวงการต่างประเทศมีหน้าที่ดูแลคนไทยอยู่แล้ว เรื่องนี้อยู่ในจิตใจของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศทุกคนอยู่แล้ว ที่ต้องการให้การดูแลคนไทยให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตนเข้าใจดีในเรื่องของเศรษฐกิจ แต่ถ้าจะเข้าไปแล้ว ก็ต้องปฏิบัติตาม SOP ที่สถานทูตได้คุยไว้กับฝ่ายทหาร เรื่องการเข้าไปทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัย