
เลขาฯ สมช.เผยมีหลักฐานพื้นที่อาชญากรรมข้ามชาติ-แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ชง มท.-กฟภ.พิจารณาตัดไฟ พร้อมแจ้งคู่สัญญาในเมียนมาแล้ว
นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้สัมภาษณ์หลังประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประมวลข้อมูลด้านความมั่นคงส่งให้ กฟภ.พิจารณาระงับการจ่ายไฟพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ที่ต้องสงสัยว่าอาจเป็นฐานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้งหมด 5 จุด ว่าที่ผ่านมา สมช.มีการติดตามเรื่องการหลอกลวงออนไลน์กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางปีที่แล้ว
และเมื่อวันศุกร์ (31 ม.ค.) ได้ประชุมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและกระทรวงมหาดไทย ในการกำหนดแนวทางที่ชัดเจนให้เกิดความรอบคอบ ในการตรวจสอบกลั่นกรองข้อมูลให้รอบคอบมากขึ้น ซึ่ง สมช.มีข้อมูลที่จะส่งให้กระทรวงมหาดไทย และ กฟภ.อยู่แล้ว
และวันนี้ที่ประชุมได้ประมวลข้อมูลด้านความมั่นคง มีหลักฐานที่เชื่อมั่นและมีหลักฐานปรากฏระดับหนึ่งที่จะส่งให้กระทรวงมหาดไทย กฟภ. โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ เพื่อนำไปประกอบการพิจารณา ซึ่งพบข้อมูลสำคัญ 6 ประเด็นคือ
1.ข้อมูลด้านความมั่นคง พื้นที่ตั้งจุดต่าง ๆ ที่เชื่อว่ามีความเสี่ยง และมีหลักฐานระดับหนึ่งว่าเกี่ยวพันกับกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ที่ผ่านมามีหลายจุด ทั้งที่แม่สาย เมียวดี พญาตองซู
2.พบว่ามีความเชื่อมโยงของบุคคลในบริษัทสัมปทาน กับกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงบ่อนกาสิโน ซึ่งเป็นเรื่องของตัวบุคคลที่อาจจะมีความเป็นไปได้ว่าเชื่อมโยงกับการจำหน่ายไฟในเมียนมา
3.พบข้อมูลเรื่องการใช้ไฟเพิ่มผิดปกติ และมีความต้องการขอการใช้ไฟเพิ่ม โดยไม่สามารถอธิบายได้ว่าจะเอาไปทำอะไร ถือว่ามีความพยายามในช่วงที่ผ่านมา แต่เราไม่ได้อนุมัติไป
4.รัฐบาลไทยเคยตัดไฟไปแล้วที่ชเวก๊กโก กับเจเจพาร์ก แต่ก็ปรากฏว่ายังสามารถประกอบกิจการได้ อาจจะเป็นการใช้น้ำมันปั่นไฟหรือไม่ก็ต้องไปดู
5.เราเห็นว่าสัดส่วนการใช้ไฟเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องพิจารณา ว่าแต่ละจุดเป็นอย่างไร จะได้นำมาประกอบการพิจารณาจึงมีการขอข้อมูลจากในพื้นที่
6.จุดที่มีการตัดไฟไปแล้ว เราก็พบว่ามีหลักฐานบางอย่างเชื่อมโยงว่ามีการเปิดเส้นทางใหม่ ด้วยการเอาไฟจากจุดอื่นมายังจุดที่ตัดไฟไปแล้ว ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้จัดส่งให้ กฟภ.และมหาดไทยไปพิจารณาตามกฎหมาย และเงื่อนไขที่กำหนดกับบริษัทคู่สัญญา
นายฉัตรชัยกล่าวต่อว่า วันนี้ สมช.มีมติ 3 เรื่องคือ สมช.ประมวลข้อมูลด้านความมั่นคงทั้งหมดส่งให้ กฟภ.นำข้อมูลไปเจรจากับบริษัทคู่สัญญาเพื่อพิจารณากำหนดมาตรการที่เหมาะสม ให้เป็นไปตามสัญญาจากมาตรการเบาไปหาหนักในการพิจารณาจ่ายไฟ
และล่าสุดการไฟฟ้าก็ทำงานเชิงรุก โดยได้แจ้งบริษัทคู่สัญญาไปแล้วว่ามีความกังวลเรื่องการใช้ไฟที่ไม่ถูกต้อง และไม่เป็นไปตามสัญญา ซึ่งได้มีส่งหนังสือแจ้งไปแล้วตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว
ขณะเดียวกัน มีมติให้กระทรวงการต่างประเทศประสานกับรัฐบาลเมียนมา ในการกำชับให้บริษัทคู่สัญญา ซึ่งเป็นบริษัทที่รัฐบาลเมียนมาอนุมัติ ให้มาทำสัญญาสัมปทานกับไทย เพื่อไปตรวจสอบว่าตรงไหนมีขายไฟในจุดที่ไม่เหมาะสม และขายไฟให้กับกลุ่มผิดกฎหมาย
รวมทั้งขอให้มีคณะทำงานตรวจสอบจากฝั่งไทยร่วมกับเมียนมา ว่าจุดไหนที่ยังมีปัญหาอยู่ เพื่อเห็นชอบตรงกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นมาตรการเฉพาะกรณีที่เกิดขึ้นกับบริษัทคู่สัญญาของ กฟภ.ใน 5 จุด เป็นมาตรการเฉพาะหน้า
ส่วนระยะยาว ต้องย้อนดูมติ ครม. การจำหน่ายไฟฟ้าให้กับประเทศเพื่อนบ้านตั้งแต่ปี 2537
นายฉัตรชัยกล่าวอีกว่า จะรีบทำหนังสือส่งให้กระทรวงมหาดไทย และ กฟภ.บ่ายนี้ ส่วนมาตรการจะเบาไปหาหนักนั้น ขึ้นอยู่กับ กฟภ.ที่ต้องดูเงื่อนไขว่ามีขั้นตอนอย่างไร เช่น งดจ่ายไฟจะงดแบบไหน แต่ทั้งหมดเราก็คำนึงถึงผลกระทบกับประชาชนฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งต้องดูตามความเหมาะสม
พร้อมย้ำว่าที่ผ่านมาไม่ใช่โยนกันไปโยนกันมา เพราะต่างคนต่างมีหน้าที่ และย้ำเรื่องข้อกฎหมายกระบวนการทำงานในปัจจุบันต้องมีขั้นตอนที่ชัดเจน และ สมช.มีข้อมูลด้านการข่าว การไฟฟ้าสามารถให้ข้อมูลด้านความมั่นคงกับ กฟภ.และมหาดไทยได้ อย่างไรก็ตาม จะดำเนินการให้เร็วที่สุด และ กฟภ.จะนำมติวันนี้ไปเจรจากับคู่สัญญา
เมื่อถามว่า จากข้อมูลที่ฝ่ายไทยมีทั้ง 5 จุดสามารถตัดสินใจตัดไฟได้เลยหรือไม่ นายฉัตรชัยย้ำว่าเป็นข้อมูลที่ปรากฏในระดับหนึ่ง รายละเอียดคู่สัญญา แต่ต้องมีการพูดคุยกับบริษัทคู่สัญญาด้วย แต่ถ้าจะให้ชัดมาก ๆ ต้องมีคณะไปตรวจสอบให้ปรากฏหลักฐานที่ชัดเจนก่อน พร้อมเชื่อว่าเมียนมาก็ต้องการแก้ปัญหานี้เช่นกัน