เปิดตัวเลขผู้ใช้สิทธิ ชิง อบจ.ไม่ถึง 60%

เลือกตั้ง อบจ.

เลือก อบจ. เรียบร้อยไปแล้ว นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. แถลงภาพรวมว่า มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งนายก อบจ. 47 จังหวัด มี 27,991,587 คน มาใช้สิทธิ 16,362,185 คน คิดเป็น 58.45 เปอร์เซ็นต์

ลดลงจากการเลือกตั้ง อบจ. ปี 2563 ประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ บัตรดี 14,272,694 ใบ คิดเป็น 87.23 เปอร์เซ็นต์ ส่วนบัตรเสีย 931,290 ใบ คิดเป็น 5.69 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าเกือบจะเท่ากับปี 2563 ที่มีบัตรเสียอยู่ที่ 5.63 เปอร์เซ็นต์ และบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 1,158,201 ใบ คิดเป็น 7.08 เปอร์เซ็นต์

ส่วนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ส.อบจ.มี 47,124,842 คน มาใช้สิทธิ 26,418,754 คน คิดเป็น 56.06 เปอร์เซ็นต์ เป็นบัตรดี 23,131,324 ใบ คิดเป็น 87.56 เปอร์เซ็นต์ บัตรเสีย 1,488,086 ใบ คิดเป็น 5.63 เปอร์เซ็นต์ และบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 1,799,344 ใบ คิดเป็น 6.81 เปอร์เซ็นต์

สรุปว่า เลือกนายก อบจ. ใช้สิทธิ 58.45% ส่วนเลือก ส.อบจ. ใช้สิทธิ 25.06%

และยืนยันว่า ตัดสินใจไม่ผิดที่จัดเลือกตั้งวันเสาร์ เผื่อเวลาไว้ก่อนวันครบ 45 วัน ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมี 6 จังหวัดในถิ่นทุรกันดาร ส่งผลคะแนนและหีบบัตรเกินเวลา 24 นาฬิกาของวันที่ 1 ก.พ. จึงยังอยู่ในเวลา 45 วัน สะท้อนว่า ตัดสินใจถูกต้อง

สำหรับ “บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใคร” หรือ โหวตโน มีจำนวนมาก กกต.คงไปตอบแทนประชาชนไม่ได้ เป็นการแสดงความรู้สึกของประชาชนต่อผู้สมัครในเขตนั้น ๆ

ADVERTISMENT

มี ส.อบจ. ไม่ผ่านเกณฑ์คะแนนตามที่กฎหมายกำหนด 3 เขต คือได้คะแนนเสียงไม่มากกว่าคะแนนที่ไม่เลือกผู้ใด ประกอบด้วย จ.สุพรรณบุรี อ.เมือง เขตเลือกตั้งที่ 1, จ.ตรัง อ.เมือง เขตเลือกตั้งที่ 2 และ จ.ชุมพร อ.สวี เขตเลือกตั้งที่ 4

อีก 1 เขตที่ไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากผู้สมัครถูกตัดสิทธิไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง คือ จ.ชัยนาท อ.วัดสิงห์ เขตเลือกตั้งที่ 1 ดังนั้น ทั้ง 4 จังหวัดนี้ต้องเลือกตั้งใหม่ใน 7 วัน นับแต่วันเลือกตั้ง

ADVERTISMENT

ส่วนที่พรรคประชาชน ให้นับคะแนนเลือก นายก อบจ. ที่ จ.เชียงใหม่ และสมุทรปราการใหม่ เนื่องจากบัตรเสียเยอะ นายแสวงกล่าวว่า เรื่องนับคะแนนใหม่มีหลักเกณฑ์อยู่ เช่น ระหว่างการนับคะแนนมีการทักท้วงและมีการทำบันทึกไว้หรือไม่ ซึ่งต้องไปพิจารณาว่าเข้าหลักเกณฑ์นั้นหรือไม่

นั่นคือ ผลสรุปในมุมของผู้จัดการเลือกตั้ง

ส่วนผลการเลือกตั้ง เพื่อไทยเข้ามามากสุด 10 ที่นั่ง รองลงมา พรรคภูมิใจไทย 9 ที่นั่ง พรรคชาติไทยพัฒนา 2 ที่นั่ง ประชาชาติ 2 ที่นั่ง พรรคกล้าธรรม (กธ.) 2 ที่นั่ง พรรคประชาชน 1 ที่นั่ง

ผู้สมัครจากกลุ่มบ้านใหญ่ได้ไปทั้งหมด 21 ที่นั่ง ขณะที่จังหวัดที่นายทักษิณ ชินวัตร ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง ลงพื้นที่ไปช่วยหาเสียง 8 จังหวัด ประกอบด้วย จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย จ.นครพนม จ.บึงกาฬ จ.หนองคาย จ.มหาสารคาม จ.ศรีสะเกษ และ จ.ลำพูน

ช่วยให้ผู้สมัครได้รับชัยชนะ 4 จังหวัด

งานนี้ทำให้เกิดกระแสเย้ยหยันนายทักษิณว่า เสื่อมมนต์ขลัง

ในเรื่องนี้ นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรค พท. กล่าวถึงเสียงวิจารณ์ว่า นายทักษิณเสื่อมมนต์ขลังแล้ว นายสรวงศ์กล่าวว่า ไม่มี อย่าไปมองเช่นนั้น ทำไมไม่มองด้วยว่าจังหวัดที่นายทักษิณไปประสบความสำเร็จเกินครึ่ง

อีกพรรคที่โดนไปด้วย คือ พรรคประชาชน เนื่องจากเดินสายหาเสียงกันเกรียวกราว แต่เข้ามาได้แค่ 1 จังหวัด ที่ลำพูน โดยล้มบ้านใหญ่ “อนุสรณ์ วงศ์วรรณ” จากตระกูลวงศ์วรรณ

แต่ก็ต้องยอมรับว่า ประชาชนทำได้ดีในหลายจังหวัด อาทิ เชียงใหม่ เซ็นเตอร์ทางเหนือของเพื่อไทย ที่คะแนนสูสีอย่างมาก

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แถลงข่าวสรุปผลการเลือกตั้งว่า ในฐานะหัวหน้าพรรค ขอโทษถึงพี่น้องประชาชน ที่พวกเราอาจจะยังรณรงค์ให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น หรือ อบจ. ไม่แข็งขันพอ

แต่สำหรับ ส.อบจ. พรรคประชาชนได้ 132 คน จาก 33 จังหวัด แบ่งเป็นจังหวัดที่พรรคส่งผู้สมัคร
นายก อบจ. 80 คน และจังหวัดที่พรรคไม่ได้ส่งผู้สมัครนายก อบจ.อีก 52 คน

จะทำหน้าที่ในการตรวจสอบการใช้งบประมาณอย่างแข็งขัน รวมถึงผลักดันการจัดงบประมาณต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่อย่างเต็มที่

นั่นคือ ความผิดหวัง สมหวัง จากแต่ละพรรคที่แตกต่างกันไป

บทเรียนจากการเลือกตั้งรอบนี้ จะนำไปสู่การปรับปรุงยุทธศาสตร์และยุทธวิธีในการเลือกตั้ง ส.ส. ในปี 2569 หรือ 2570

ที่คาดหมายได้ว่า สู้กันไฟแลบแน่นอน