เผ่าภูมิ เชื่อ ศก.ปี’68 ขยายตัวมากกว่า 2.8% หนุนคลอดแพ็กเกจกระตุ้นลงทุน

เผ่าภูมิ โรจนสกุล
เผ่าภูมิ โรจนสกุล

รมช.คลัง ประเมินสวน สศช. เชื่อ ศก.ปี’68 ขยายตัวมากกว่า 2.8% เห็นพ้องต้องออกแพ็กเกจกระตุ้นลงทุนระยะยาว ยันยังไม่สรุปดึงเงินดิจิทัลวอลเลตหรือไม่

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หลังจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 ขยายตัว 2.8% ถือว่าเป็นตัวเลขที่แต่ละสำนักจะประเมินตัวเลขที่แตกต่างกัน และมีสมมติฐานที่ต่างกัน ซึ่งกระทรวงการคลังประเมินไว้ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัว 3% และจำเป็นต้องเร่งทำให้ได้ตามเป้าหมาย

ส่วนกรณีที่ สศช.แนะนำว่าจะต้องออกแพ็กเกจกระตุ้นการลงทุนออกมาในปีนี้เพิ่มเติมนั้น รมช.คลังมองว่าเรื่องนี้เห็นตรงกันกับรัฐบาล เพราะการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ กับการวางโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว

เป็นที่มาของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการออกนโยบายสำคัญ เช่น การผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) หรือสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) เช่นเดียวกับการส่งเสริมตลาดยานยนต์ในไทย

ซึ่งกระทรวงการคลังกำลังเตรียมปรับปรุงโครงสร้างภาษี และการดึงดูดแหล่งเงินใหม่ ๆ เข้ามาลงทุนในประเทศขณะที่แนวโน้มการกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้

ส่วนรัฐบาลจะมีแนวคิดดึงเงินส่วนหนึ่งของโครงการเงินดิจิทัลวอลเลต 1.5 แสนล้านบาท มากระตุ้นการลงทุนหรือไม่นั้น รมช.คลังเห็นว่าจะต้องประเมินสถานการณ์อีกครั้ง ว่าเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 2-3 จะกระจายเงินในลักษณะใด เพื่อรักษาโมเมนตัมทางเศรษฐกิจ

ADVERTISMENT

“รัฐบาลมีแผนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2-3 เพราะในช่วงไตรมาสแรกจะมีแรงส่งอยู่ โดยจะมีมาตรการภาษีและมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย รวมทั้งมาตรการด้านสินเชื่อ เพื่อกระจายเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจ ส่วนวงเงินที่จะเอามาใช้นั้น ตอนนี้ขอให้รอข้อสรุปอีกครั้ง เพราะทุกอย่างอยู่ในกระบวนการ” นายเผ่าภูมิระบุ

ส่วนตลาดรถยนต์ที่ชะลอตัวลงในปี 2567 นั้น รัฐบาลมองว่าเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนักเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ เป็นผลมาจากการปล่อยสินเชื่อน้อยกว่าที่ควรเป็น ซึ่งรัฐบาลกำลังจะมีมาตรการเกี่ยวกับการค้ำประกันสินเชื่อกลุ่มรถกระบะออกมาเร็ว ๆ นี้

ADVERTISMENT

ขณะเดียวกัน ตลาดรถยนต์ยังได้รับผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมด้วย จึงทำให้ตลาดรถยนต์ในปีที่แล้วปรับตัวลดลง แต่รัฐบาลก็เชื่อว่ามาตรการต่าง ๆ ที่มี เช่น มาตรการ EV 3.5 จะช่วยประคับประคองได้

ส่วนการประชุม กนง.ครั้งต่อไปนั้น รมช.คลังยอมรับว่า ก็หวังว่าจะมีข่าวดี แต่ก็เป็นอำนาจของ กนง. ซึ่งรัฐบาลก็อยากให้ปรับนโยบายทางการเงินให้เกิดความเหมาะสม สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งกรอบอยู่ที่ 1-3% หากเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบก็ควรพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและปัจจัยอื่น ๆ ลงด้วย